ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สากลจักรวาลสากลศาสนา ตอนที่ 16

 

สากลจักรวาลสากลศาสนา

ธรรมสามีวินิจฉัย  16

 

 

 

            ทำไม หรือ เพราะเหตุใด มนุษย์จึงต้องเอาใจใส่สนใจในศาสนา ?

            ในวันนี้  มีคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจนว่า เพราะมนุษย์เองขาดศาสนาไม่ได้ มนุษย์นั้นเองเป็นผู้สร้างศาสนาขึ้นมา

            เพราะมนุษย์มีคุณสมบัติประจำตัวที่สำคัญนั้นก็คือ มนุษย์ย่อมมีความกลัว

            ความกลัวนั้นก็มาจากสาเหตุของความโง่เขลาเบาปัญญา คือเนื่องจากความไร้การศึกษา มีความไม่รู้ หรืออวิชชาครอบงำอยู่ เมื่อมนุษย์ยังไม่รู้ไม่เข้าใจในปรากฏการณ์ใดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์ที่รุนแรงเกรี้ยวกราด ที่ทำให้มนุษย์เป็นอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ เช่นน้ำท่วม ไฟป่า ลมพายุร้ายแรง หรือปรากฏการณ์ที่มนุษย์ไม่เข้าใจเช่นความมืด และความสว่าง เสียงดังๆเป็นอาทินี้ ทำให้มนุษย์เกิดความกลัวและทำให้ชีวิตมนุษย์ไม่มีความสุข

            และปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าปรากฏการณ์ใดๆก็คือ ความตาย มนุษย์ค่อยพบไปตามลำดับว่า มนุษย์มีความเกิด เป็นรูปเป็นร่างมนุษย์ ความเติบโตของมนุษย์ความชราภาพของมนุษย์ความเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ และความตายของมนุษย์ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ป้องกันแก้ไขไม่ได้เลยมนุษย์ทุกยุคสมัยมา มีแต่เฝ้าคอยดูมนุษย์ด้วยกันค่อยตายจากกันไปตามลำดับๆโดยมนุษย์ไม่สามารถห้ามหรือแก้ไขได้เลยต้องยอมพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และปรากฏการณ์เช่นนี้เอง ย่อมทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว แม้กระทั้งทุกวันนี้ มนุษย์ที่เจริญด้วยศิลปวิทยาการสูงสุด ก็มิอาจหักห้ามใจไปจากความกลัวเนื่องจาก ความตายนี้ได้ และความกลัวนี้เป็นเหตุ ให้มนุษย์แสวงหาศาสนา มนุษย์จึงเกิดมาเป็นมนุษย์พร้อมกับความมีศาสนาเสมอ มนุษย์จึงมิอาจจะอยู่โดดเดี่ยวโดยปราศจากศาสนาไปไม่ได้

            และในที่สุดมนุษย์ก็ได้พบความจริงว่าเพื่อที่เอาชนะความกลัวจึงต้องศึกษาให้เกิดความรู้ ต่อมาเมื่อมีความรู้ขึ้นมามากๆจนรู้เรื่องราวไปทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ที่ไปที่มาของปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นรู้ที่ไปที่มาของความมืด รู้ที่ไปที่มาของความสว่าง มนุษย์ก็คลายหายไปจากความกลัวความมืดและความสว่าง

            มนุษย์รู้ที่ไปที่มาของปรากฏการณ์ร้ายแรงเช่นฟ้าผ่า และซ้ำยังสามารถควบคุมฟ้าผ่า มิให้เป็นอันตรายต่อตนเองได้อีกด้วย ผิดกับมนุษย์ยุคดั้งเดิมที่ยุคดึกดำบรรพ์ที่ไม่รู้ที่ไปที่มาของ ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ และฟ้าร้อง ก็พากันเชื่อว่าฟ้าแลบฟ้าร้องและฟ้าผ่าเป็นอาวุธร้ายแรงของพระเจ้า ดังมีคำข่มขู่ของศาสดาบางคนในทำนองนี้ว่า ผลของผู้ประกอบความชั่วจะโดนสายฟ้าของพระเจ้าฟาดสิ้นชีวิต หรือพบกับความตายโดยหาสาเหตุไม่พบ และทำให้พวกเขามีความกลัวอย่างหนักต่อไป

            เมื่อมนุษย์รู้เรื่องทะเล มหาสมุทร และแม่น้ำ รู้ที่ไปที่มาแห่งปรากฏการณ์แห่งทะเล มหาสมุทรและแม่น้ำเช่นปรากฏการณ์เกี่ยวกับน้ำท่วม ปรากฏการณ์เกี่ยวกับพายุ คลื่น ลมในทะเล ปรากฏการณ์เกี่ยวกับกระแสน้ำ ปรากฏการณ์เกี่ยวกับสัตว์ พืชและสิ่งมีชีวิตในน้ำ มนุษย์ก็คลายหายไปจากการกลัวทะเลและข้ามฟากมหาสมุทรไปแสวงหาทวีปใหม่ๆในแผ่นดินโลกได้ และซ้ำเป็นเหตุให้มนุษย์กลุ่มที่รู้ความจริงเช่นนี้ ได้เปรียบมนุษย์กลุ่มอื่นที่ยังโง่เขลาอยู่ ในทางที่จะทำมาหาได้ทั้งยังความสามารถในการปกครองดีกว่า เหนือกว่ามนุษย์กลุ่มอื่นหรือเผ่าพันธุ์อื่น เพราะความรู้ย่อมเป็นต้นเหตุของความเจริญทางวิทยาศาสตร์

            ดังจะเห็นว่าในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ว่า ความเจริญเริ่มเมื่อสเปนและโปรตุเกสซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มออกเดินทางไปในมหาสมุทร พวกเขาไม่กลัวทะเล และมหาสมุทรต่อไปอีก ในปี ค.ศ.1492 ( พ.ศ.2035 ) โคลัมบัสแห่งสเปน ออกเดินเรือไปถึงทวีปอเมริกา โดยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปพบโลกใหม่ทางตะวันตก และวาสดาโกมาแล่นเรือจากโปรตุเกสลงไปทางใต้ของแอฟริกาแล้วอ้อมแหลมกูดโฮปไปถึงอินเดีย พบโลกใหม่ทางตะวันออก และในขณะเดียวกันที่ชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาก็ตาม อินเดียก็ตามยังคงงมงายโง่เขลาอยู่เพราะความไม่รู้ แต่พวกผู้รู้คือพวกสเปนและโปรตุเกสก็ได้เปรียบต่อมาจึงสามารถครอบครองโลก นำความมั่งคั่งไปสู่สเปนและโปรตุเกสอย่างมหาศาล ดังปรากฏในประวัติศาสตร์โลกระหว่างศตวรรษที่16 สเปนและโปตุเกสได้ปกครองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่คืออเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ตลอด ไปถึงเอเชียและอาฟริกา จนต่อมาถึงประเทศอื่นๆ ทางตะวันตกจึงมีความฉลาดทันสเปนและโปตุเกส นับแต่อังกฤษและฝรั่งเศสที่เรารู้จักดี ได้กลายเป็นมหาอำนาจที่เดินทางข้ามมหาสมุทรไปครอบงำทั้งโลกจนประเทศในทวีปเอเชียแทบทุกประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก ที่ฮอลันดา ( เนเธอร์แลนด์ ) ฝรั่งเศส และอังกฤษ อินเดียเองซึ่งมีดินแดนที่มีเทพเจ้าให้การคุ้มครองให้การรักษาประเทศตามคติของฮินดู  มีจำนวนมากที่นักศึกษาศาสนายุคใหม่นับจำนวนไว้ถึง 3 ล้านองค์ก็คุ้มครองไว้ไม่ได้ ( เพราะเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง ผู้รู้จริงย่อมเป็นผู้ปกครองเป็นธรรมดา )

            ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพราะมนุษย์มีความรู้และหายคลายไปจากความกลัว ส่วนมนุษย์ผู้ที่ยังด้อยสติปัญญา ยังไม่รู้ ก็ยังกลัวต่อไป และความกลัวทำให้มนุษย์ไม่มีความสุข และกลับเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง เพื่อจะให้คลายหายจากความทุกข์นั้นมนุษย์จึงสร้างความเชื่อขึ้นมาเพื่อให้เป็นเกราะป้องกันตนเอง เช่น ชาวอินเดีย ฮินดู ยุคดึกดำบรรพ์หรือมนุษย์ที่เชื่อถือในพระเจ้าในดินแดนอื่นๆของโลก ต่างก็พากันเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเมตตาสร้างโลกขึ้นมาให้เรามนุษย์อยู่ในปัจจุบันนี้

            ชาวฮินดูแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตนและเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าสร้างก็คือการสร้างโลกและโลกที่พระเจ้าๆสร้างก็คล้ายๆกันในศาสนาที่มีพระเจ้า เช่นโลกของพวกพราหมณ์ในอินเดียที่มีลักษณะพิลึกกึกกือเป็นอย่างยิ่ง จนฝรั่งนำมาเขียนบันทึกไว้ในฐานะความเชื่อที่ประหลาดของคนยุคเก่าก่อนดึกดำบรรพ์ ( Primitive man ) ว่า

 

In the past the earth was a mystery. Many people thought it was full of gods , spirits and monsters. Most people thought it was flat, like a plate, with water all around it . In

India they use to believe the land was carried on the back of an elephant. It was difficult to take a long trip, and people were afraid of traveling very far. They thought they could fall off the edge of the earth. :

 

ในอดีตกาล โลกเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง คนจำนวนมากเชื่อว่าโลกเต็มไปด้วยพระเจ้าและเทวดามีดวงวิญญาณล่องลอยไปมาอยู่มากมาย และมีสัตว์ประหลาดต่างๆเต็มไปหมด คนแทบทั้งสิ้น เชื่อว่าโลกมีสัณฐานแบนเหมือนจานใบหนึ่ง มีห้วงน้ำขนาดมหึมาล้อมอยู่รอบๆโลก ในอินเดียพวกพราหมณ์ในอินเดียเคยเชื่อว่า แผ่นดินตั้งอยู่บนหลังช้างใหญ่เชือกหนึ่ง และมันแบกแผ่นดินท่องไป ความเชื่อเช่นนี้เป็นเหตุให้คนไม่กล้าเดินทางไปไกลๆเพราะจะตกไปจากขอบโลก ( โปรดดู Odyssey Book 6 อ. 615 อ. 616 ไทยวัฒนาพานิช จำกัด พิมพ์ครั้งที่5 พ.ศ.2532 หน้า2 )

 

 

 

หนังสือเล่มเดียวกันยังกล่าวต่อไปอีกว่า มีพวกพราหมณ์บางพวกเชื่อไปอย่างพิลึกกึกกือไป

กว่านั้นอีกคือเชื่อว่า นอกจากมีช้างใหญ่ 2 เชือกแบกโลกไว้แล้ว ยังมีเต่ามหึมาอีกตัวหนึ่งรองรับทั้งแผ่นดินและสรรพสิ่งบนแผ่นดิน โดยช้าง 4เชือกยืนอยู่บนหลังเต่าขนาดมหึมาตัวนั้น และเต่าตัวนั้นพาโลก ว่ายไปในห้วงน้ำที่มืดมิด ด้านบนแผ่นดินก็มีภูเขาใหญ่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าจำนวนมากมาย เป็นที่ครั่นคร้ามสยองของมวลมนุษย์ยุคนั้น

            เมื่อมนุษย์รู้ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ ป่า สัตว์ป่า หุบเหว ถ้ำ และภูเขา หรือเรื่องธรณีวิทยามากขึ้น มนุษย์ก็ค่อยคลายละหายไปจากความกลัวต้นไม้ใหญ่ ความกลัวป่า ความกลัวสัตว์ป่า ความกลัวหุบเหว ความกลัวถ้ำ และภูเขา แล้วมีความกล้าหาญ มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เพราะความรู้นั้น ฉะนั้นบนภาคพื้นดิน มนุษย์ก็กล้าเข้าไปบุกเบิกความลับของต้นไม้ ป่า สัตว์ป่า หุบเหว ถ้ำ และภูเขา แล้วเอาชนะได้ด้วยการศึกษาและรู้ความจริงของสิ่งเหล่านั้นเพิ่มขึ้นๆ และเมื่อมีความรู้มีวิทยาการเหนือกว่าก็สร้างความเจริญที่เหนือกว่า และสามารถครอบงำชนที่ล้าหลังกว่าได้ เช่นอังกฤษที่สามารถยึดครองอินเดียที่กว้างใหญ่ไพศาลตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษได้ และอังกฤษได้ชื่อว่า เป็นจักรภพที่ไม่มีตะวันตกดิน เพราะมีเมืองขึ้นอยู่ทุกซีกส่วนของโลก

 

            เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญนั้นคือความรู้รู้ที่ไปที่มาของปรากฏการณ์ต่างๆแล้วมนุษย์ก็ค่อยคลายหายไปจากความกลัว และเริ่มคิดเริ่มทำอะไร ด้วยสติปัญญาของตัวมนุษย์เองขึ้นได้เรื่อยๆจนมาสู่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์ยุคใหม่มีความคิดอ่านแตกต่างไปจากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ไปอย่างมากมาย ในประการต่อไปแม้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเอง ก็ได้พบความจริงว่าโดยมนุษย์เองนั้น เป็นนักคิด มีความสามารถในการคิด ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษ เฉพาะตัวเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่แตกต่างไปจากสัตว์และเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ ที่ประจำมนุษย์อีกคุณสมบัติหนึ่ง เพราะเหตุผลที่นักบุพชีพวิทยา,นักก่อนประวัติศาสตร์,นักมนุษยวิทยา,นักโบราณคดี,มารวมหัวกันศึกษาเรื่องราวของมนุษย์กับศาสนาในปลายศตวรรษที่20นั้น และบัญญัติคำว่ามนุษย์ขึ้นนั้น ก็เนื่องจากพบว่ามนุษย์มีคุณสมบัติที่สำคัญก็คือ มีความคิดอ่านที่ผิดแผกไปจากสัตว์ และเริ่มนับตระกูลมนุษย์ตระกูลแรกของโลกขึ้นมาว่า เป็นตระกูลมนุษย์หรือ Homonids เกิดขึ้นเมื่อประมาณ250,000 ปีขึ้นไปแล้วมีการวิวัฒนาการมาจนการเกิดนิยามเผ่าพันธุ์ของเราในปัจจุบันคือ โครมายอง เมื่อ 50,000 ปีมาแล้วโคมายองเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์แรกที่มีระบบความคิดเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ และรู้จักการพัฒนาการทางความคิดขึ้นมาเรื่อยๆนั่นก็คือทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีความฉลาดรอบรู้ขึ้นมาเรื่อยๆนั่นเอง

 

            จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าว พบว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์แรกๆที่ครองโลกมาแต่ก่อนประมาณ100,000 300,000 ปี คือโฮโมซาเบียน ยุคแรกๆของมนุษย์เรานั่นเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความกลัวได้เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ๆมีที่มาที่ไปอย่างไร มีสภาพตามธรรมชาติของมันอย่างไร เช่นเดียวกับมนุษย์สมัยนั้นเห็น ฤทธิเดชของสัตว์ใหญ่ๆ เช่น งู , เสือ , สิงโต, ช้าง , แรด , นกเยี่ยวก็พากันกลัว ต่อมาจึงมีคนที่มีความคิดล้ำหน้าคนอื่น เกิดขึ้นและแนะนำให้ไปบูชาต้นไม้ใหญ่ๆ ให้บูชาสัตว์บ้าง จึงเกิดลัทธิที่บูชาสัตว์ ( Animalism ) ขึ้นมา ท่านจะเห็นว่าจนบัดนี้ ศาสนาบูชาสัตว์และต้นไม้ก็ยังคงมีอยู่ทั่วไปในชนประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาทั้งหลาย ในชนที่คร่ำครึหัวโบราณต่างๆในทั่วทุกทวีปอันเนื่องมาจากศาสดายุคนั้นวางวิถีทางความคิดไว้ให้อย่างไม่ถูกต้องและไม่มีความรู้จริง และมนุษย์สมัยก่อนก็มีสติปัญญาค่อนข้างน้อย ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบเอาไว้ ว่า "โฮโมอีเลคตัส ( Homoelectus ) มีสติปัญญาต่ำกว่ามนุษย์ฉลาด ( Homosapien )คือมนุษย์แบบปัจจุบัน กล่าวคือขนาดของสมองของโฮโมอีเลคตัสมีประมาณ 883 c.c. – 1,043 c.c.ในขณะที่สมองของ ออสตราโลพิเดอะคัส  มีขนาด 440 c.c.- 519 c.c. โฮโมฮาบิลิส  มีขนาด 640 c.c. ส่วนมนุษย์ฉลาดแบบปัจจุบัน มีสมองขนาด 1,450 c.c.” ซึ่งน่าจะหมายความรวมไปด้วยว่า มนุษย์ที่นับถือลัทธิที่บูชาสัตว์ในยุคปัจจุบันนี้ จะเป็นพวกที่มีมันสมองน้อย พอๆกับมนุษย์ยุคเก่าก่อน พอๆกับพวก ออสตราโลพิเดอะคัส

 

            คำว่ามนุษย์ โฮโมอีเลคตัส ( Homoelectus ) ตรงกับมนุษย์วานรในภาษาทั่วไปที่ใช้กันอยู่มนุษย์พวกนี้เป็นต้นตระกูลมนุษย์เมื่อประมาณ 1.8 ล้านปี 300,000 ปีเศษ ก็สูญพันธุ์ไปตามข้ออ้างข้างต้นมนุษย์วานร  ยังมีมันสมองโตกว่ามนุษย์ออสตราโลพิเดอะคัส เพราะมนุษย์วานรมีมันสมองประมาณ 883 c.c. – 1,043 c.c. ในขณะที่มนุษย์ออสตราโลพิเดอะคัสมีขนาด 440 c.c.- 519 c.c การศึกษาทางระบบกายวิภาควิทยาของมนุษย์ และมนสมองของมนุษย์พอจะเห็นได้ว่า มนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดมาพร้อมๆกับการพัฒนาทางสมองด้วย เมื่อมันสมองมนุษย์โตขึ้นมนุษย์ก็มีความคิดมากขึ้นด้วย มีวิธีการคิดสลับซับซ้อนไปเรื่อยๆ และบ่งบอกถึงความฉลาดมีปัญญาของมนุษย์เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆเช่นเดียวกัน

 

            ในสมัยดึกดำบรรพ์หรือยุคมนุษย์วานรดังกล่าวมาจนถึงยุคมนุษย์โครมายอง เมื่อ 50,000 ปีที่แล้วมนุษย์มีความฉลาดในการสร้างลัทธิศาสนาขึ้นมาเพื่อบรรเทาหรือระงับความกลัวเนื่องมาจากความไม่รู้จึงเมื่อได้เกิดลัทธิบูชาสัตว์  ( Animalism ) ขึ้นมาก็เกิดมีเทพเจ้าสัตว์ขึ้นมาอย่างมากมายในส่วนต่างๆ ของโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่เช่นมีเทพเจ้าวัวของชาวอียีปต์ที่ชื่อว่า เทพเจ้าอพิส (Apis) ชาวแอสแทค แห่งเม็กซิโก ก็มีพญางูเป็นเทพเจ้า ทางเอเชียก็มีเทพเจ้าสัตว์ของชาวอินเดียหรืออารยันยุคนั้นมากมายเต็มไปหมด หรือชนพื้นเมืองในบางทวีป เช่น ชาวเผ่าชริสซามา ลุ่มน้ำอเมซอน นับถืองู อนาคอนดาเป็นเทพเจ้า เป็นต้น

            ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความรู้เรื่องสัตว์มากขึ้น สามารถเอาชนะสัตว์มีอำนาจได้ ก็ค่อยลดความนับถือสัตว์ลงไป ในยุคนี้จึงกลายเป็นลัทธิเทพเจ้ากึ่งคนกึ่งสัตว์ เช่นในอียิปต์ที่ ปิระมิดกิซาก็มีเทพเจ้าสฟิงค์ คือเทพเจ้าสิงโต มีเทพเจ้ากึ่งคนกึ่งนกของชาวอียิปต์

            ในอินเดียก็มีเทพเจ้ากึ่งคนกึ่งสัตว์อยู่องค์หนึ่งคือเทพเจ้าพิฆเณศ มีตัวเป็นคนหัวเป็นช้าง ซึ่งยังเป็นที่เคารพบูชาของชาวอินเดียบางเผ่ามาจนถึงทุกวันนี้ ในประเทศไทยก็มีคนบางพวกเอาเทพเจ้าองค์นี้ไปแทนเครื่องหมายทางการค้าการก่อสร้าง ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่มีฝีมือด้านการก่อสร้างและมีวิชาการสูงจนกระทั่งบางวงการเอาไปโฆษณาชวนเชื่อยกให้เป็นบรมครูทางด้านศิลปะวิทยาการต่างๆก็มี

            ต่อมาเมื่อมนุษย์มีมันสมองโตขึ้นไปอีก มีความรู้มากไปอีกก็ล้มล้างพระเจ้ากึ่งคนกึ่งสัตว์ไปเสียสิ่งที่ยังไม่เข้าใจก็นำเอามาตั้งเป็นเทพเจ้าต่อไป ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเทพเจ้าธรรมชาติ เช่นเทพพระอาทิตย์ ซึ่งมีหลายเผ่าพันธุ์มนุษย์เคารพบูชา และตั้งชื่อต่างๆเช่น อพอลโลของกรีก เป็นต้น ในประวัติศาสตร์สงครามทรอย อาคิริส วีรบุรุษในสงครามนี้ ได้เคยแสดงอำนาจความเป็นบุรุษนักรบ โดยตวัดดาบตัดหัวเทพเจ้าอพอลโลรูปเคารพ ที่ทวารเมืองให้ทหารดู เป็นการตัดไม้ข่มนาม ว่ามนุษย์มีความสามารถเหนือเทพเจ้าจนที่สุดมีชัยชนะเหนือกรุงทรอย เทพอพอลโลแม้ถูกดูหมิ่นขนาดนั้นก็ไม่สามารถช่วยได้

 

 

 

            โลกในยุคปัจจุบันนี้ ที่มนุษย์มาสู่การวิวัฒนาการมาสู่สมัยใหม่สุด กระนั้นก็ยังเป็นยุคที่ยังมีความกลัวเหลืออยู่ ในคนส่วนมากที่ล้าหลัง ที่ยังไม่มีวิทยาการที่ศึกษาธรรมชาติอย่ามีเหตุคนเหล่านั้นก็ยังคงเอาชนะความกลัวด้วยความเชื่อ จึงยังมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้า และประกอบพิธี กรรมสำคัญ ๆ ของวาระชีวิตแต่ละวาระไปตามความเชื่อนั้น โลกยุคปัจจุบัน สามารถแยกออก  ศึกษาได้เป็น 2 ระยะ คือโลกยุคก่อนมีศาสนาพุทธ และโลกยุคหลังมีศาสนา พุทธแล้ว เพราะ ศาสนาพุทธมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานยิ่งกว่าศาสนาคริสต์และอิสลาม และเป็นศาสนาที่ไม่มีคำสอนให้ เชื่อเรื่องเทพเจ้าผู้สูงสุด ซึ่งตลอดเวลานี้ศาสนาพุทธไม่เคยใช้สงครามหรือความรุนแรงเผยแผ่ศาสนาและไม่เคยเป็นข้ออ้างสำหรับการฆาตกรรมหรือมีการข่มเหงรังแกคนนอกศาสนาหรือผู้บริสุทธิ์เลย  แต่ศาสนาพุทธเผยแผ่ออกไปด้วยภูมิสติปัญญาอันสูงสุด หลักการของพระพุทธศาสนาเป็นการต่อสู่ด้วยปัญญา การติดอาวุธทางปัญญาให้แด่นักรบเป็นยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก การติดอาวุธให้โดยสมบูรณ์ หมายถึงการให้สำเร็จธรรมบรรลุความเป็นอรหันต์ แล้วจะเป็นนักรบที่ฉลาดและกล้าหาญยิ่งกว่านักรบผู้ฉลาดกล้าหาญใดๆเพราะเป็นความฉลาดและความกล้าหาญโดยความรู้ตามหลักสัจธรรมที่ว่า เมื่อรู้แล้วย่อมเพียบพร้อมด้วยสติและย่อมไม่กลัวนั่นเอง นอกจากนั้นศาสนาพุทธยังมีคำสอนที่สอดคล้องหลักวิทยาศาสตร์ และ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญๆจึงยอมรับว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ ที่สมควรยกย่องว่าเป็นศาสนาสำหรับมนุษย์ และเป็นศาสนาแห่งสันติภาพโดยแท้จริงของโลกมนุษย์

 

 

 

            ในยุคก่อนศาสนาพุทธนั้นคนในอินเดียซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ใต้เงาทะมึนของภูเขามหึมาคือเทือกเขาหิมาลัยที่เป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดเปรียบเสมือนหลังคาโลก มนุษย์จึงจินตนาการไปถึงสิ่งที่น่ากลัวน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของมนุษย์ และทำให้เกิดความคิดสร้างภาพเทพเจ้าต่างๆขึ้นมาเพื่อถือเป็นสรณะที่ปกป้องคุ้มครองเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเกิดเทพเจ้าองค์สำคัญๆขึ้นมาคือ อิศวร ผู้สร้าง พระพรหม ผู้ดูแลโลก และพระวิษณุหรือนารายณ์ ผู้ปกป้องคุ้มครองโลกจากอสูรและภัยพิบัติของโลก ผู้ที่คิดสร้างเทพเจ้าเหล่านี้แหละคือหัวหน้าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และส่วนมากมีฐานะของศาสดาที่มีความกลัวฝังใจเหมือนๆกับคนทั้งหลายและศาสดาเหล่านั้นก็พามนุษย์เข้ารกเข้าพงยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากไม่รู้ความจริง จึงพาประชาชนห่างไกลไปจากความจริงจึงสมกับถ้อยคำของนักประพันธ์ฝรั่งเขียนเอาไว้ เรื่องความเชื่อของชาวอินเดียโบราณดังกล่าวมาแต่ต้นบทที่ว่า

 

 

 

In the past the earth was a mystery. Many people thought it was full of gods , spirits and monsters. Most people thought it was flat, like a plate, with water all around it . In

India they use to believe the land was carried on the back of an elephant. It was difficult to take a long trip, and people were afraid of traveling very far. They thought they could fall off the edge of the earth. :

 

ในอดีตกาลโลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง คนจำนวนมากเต็มไปด้วยพระเจ้าและเทวดามีดวงวิญญาณไปอยู่อย่างมากมาย และมีสัตว์ประหลาดต่างๆเต็มไปหมด คนแทบทั้งสิ้นเชื่อว่าโลกมีสัณฐานแบนเหมือนจานใบหนึ่ง มีห้วงน้ำขนาดมหึมาล้อมอยู่รอบๆโลก ในอินเดียพวกพราหมณ์ในอินเดียเคยเชื่อว่า แผ่นดินตั้งอยู่บนหลังช้างใหญ่เชือกหนึ่ง และมันแบกแผ่นดินท่องไป ความเชื่อเช่นนี้เป็นเหตุให้คนไม่กล้าเดินทางไปไกลๆเพราะจะตกไปจากขอบโลก

 

 

 

            ต่อมาเมื่อยังไม่เป็นผลสัมฤทธิ์ตามความคิด มนุษย์ก็สร้างเทพเจ้าต่างๆขึ้นมาอีกมากมายจนก่อนที่มีศาสนาพุทธเกิดขึ้น ชนล้าหลังในอินเดียได้สร้างเทพเจ้าขึ้นมาบูชาเพื่ออ้อนวอนให้ปกปักรักษาชีพตนมีจำนวนมากมายจนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่า พลเมืองของโลกยุคนั้นแท้จริงล้วนแต่เหล่าเทวดาทั้งสิ้น เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการรวบรวมจำนวนแล้วพบว่า มีเทพเจ้าในอินเดียยุคโบราณนั้นจำนวนมากถึง 3 ล้านองค์ จนคนทั้งหลายเชื่อว่ามีวิญญาณของพระเจ้าล่องลอยไปมาบนโลกชมพูทวีปขณะนั้น มากมายเต็มแผ่นดินไปหมดยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้แก่มนุษย์ยิ่งขึ้น ท่านจะเห็นว่าความเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นมาเนื่องจากมีหัวหน้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่โง่เขลาอยู่สมัยต้นๆ ที่มนุษย์มีมันสมองน้อยอยู่นั่นเอง ( มนุษย์ออสตราโลพิเดอะคัส มีขนาด 440 519 ซีซี. มนุษย์ฉลาดปัจจุบันคือโฮโมซาเบียน มีขนาดมันสมองโตกว่าคือคือ 1,450 ซีซี. ) โดยขนาดมันสมองที่น้อยนิดเพียงนั้นมนุษย์สมัยนั้นจึงสอนมนุษย์ให้เชื่อไปในสิ่งโง่เขลาเช่นนั้น

            ตราบยุคหลังศาสนาพุทธผ่านไปแล้วเล็กน้อย ก็ยังมีศาสดาเกิดขึ้นมาอีก 2 องค์ ที่สอนให้มนุษย์เชื่อในสิ่งที่เหลวไหลคือเชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง ปรากฏในคัมภีร์ศาสนานั้นอย่างละเอียด โดยฝ่ายหนึ่งอ้างว่าพระเจ้าของตนเองสร้างโลกขึ้น จากความว่างเปล่า ทรงเนรมิตด้วยพระวาจาศักดิ์สิทธิ์ตรัสอะไรอย่างไร อะไรก็เกิดขึ้นอย่างนั้น การสร้างโลกจึงเสร็จลงโดยเร็วภายใน 7 วัน และสร้างมนุษย์ชาย หญิงขึ้นมาคู่แรกในวันที่สร้างโลกเสร็จนั้นเอง และเป็นต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งหลายในโลกทุกวันนี้ และด้วยเหตุนั้น มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้จะต้องเคารพบูชาและเชื่อฟังแต่พระเจ้าของเขา เพราะมนุษย์และชีวิตมนุษย์เป็นของพระเจ้าผู้สร้างขึ้นมา มนุษย์จะต้องมอบชีวิตไว้แด่พระเจ้าและการจะอยู่แม้การตายก็ต้อง แล้วแต่พระเจ้า และต้องเชื่อฟังตัวแทนของพระเจ้าบนโลกมนุษย์ ( คือนักบวชในศาสนานั้นๆ ) ทุกๆประการจนเป็นเหตุให้เกิดโลกเผด็จการศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นในยุโรป ในระยะ 1500 ปีแรกของศาสนาคริสต์ เป็นเหตุให้เกิดสงครามศาสนา แล้วเป็นเหตุให้ชาวยุโรปลุกขึ้นมาต่อต้าน และสร้างอาณาจักรของมนุษย์ขึ้นเอง คือประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันชนอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลกหลังพุทธกาล ก็อ้างเช่นเดียวกันว่าพระเจ้าของตนต่างหากที่เป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ พระเจ้าของตนเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ส่วนพระเจ้าองค์อื่นของศาสนาอื่นหาเป็นพระเจ้าไม่ ก็กลับกลายเป็นการสร้างศาสนาขึ้นมาเป็นโทษแก่มนุษย์เองเพราะทำให้มนุษย์เอง เพราะทำให้มนุษย์ขัดแย้งกันเองและกลายเป็นสงครามศาสนาขึ้นมา จนขณะนี้มีความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความเชื่อของศาสนาทั่วโลก

 

            นี่เป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ยุคใหม่จะได้สังเกตเห็นแล้วว่า ศาสนาที่มนุษย์เรานับถือบูชาอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้เพิ่มความรู้ความฉลาดให้แก่มนุษย์เลย ตรงกันข้ามสิ่งที่มนุษย์ได้มาซึ่งวิทยาการ วิทยาศาสตร์และความรู้ กลับเกิดขึ้นจากมันสมองการค้นคิดของมนุษย์เองล้วนๆหาใช่ได้ประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้า หรือวิชาการที่ทางศาสนาพร่ำสอนแต่อย่างไร และก็จะพบความจริงว่าวิทยาการสมัยใหม่ต่างขัดแย้งหลักการในศาสนาไปแทบทั้งสิ้น กลายเป็นว่า ศาสนานั้น แท้จริงเป็นเรื่องของมนุษย์ยุคต้นๆ ของการวิวัฒนาการที่ยังมีมันสมองน้อยอยู่และมีสถานะทางสังคมคับแคบและเปล่าเปลี่ยว ที่คิดการศาสนาขึ้นมาบำบัดความเปล่าเปลี่ยวความหวาดกลัวและวิตกทางจิตใจเท่านั้นเอง โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องหรือสัจธรรมแต่ประการใดเลย

            ที่สำคัญที่สุดก็คือ ศาสนาใช่จักนำสันติสุขมาให้แต่ศาสนานั้นเองเป็นที่ไปที่มาแห่งความวุ่นวาย การขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์และการสงครามขาดใหญ่ของมนุษย์

            และประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับศาสนานั้นก็คือ มนุษย์ยังไม่ทราบความจริงเกี่ยวกับศาสนามนุษย์ยังไม่เข้าใจว่าศาสนาคืออะไรมนุษย์มักจะมีแต่ความเชื่อ การมีความเชื่อในศาสนาจึงไม่มีความแตกต่างอะไรกับกรที่มนุษย์ปฏิเสธศาสนาหรือคนไม่มีศาสนา เพราะความจริงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ก็คือมนุษย์ที่เชื่อในศาสนากับมนุษย์ที่ไม่เชื่อในศาสนาต่างก็มีความประพฤติคล้ายๆกันไม่แตกต่างอะไรทั้งทางดีและทางร้าย ในทางร้ายนั้นคือแม้ชนที่มีความเชื่อเรื่องศาสนา ประกาศตนว่าเป็นศาสนิกชนแต่ต่างก็กระทำบาปกรรมต่างๆเช่นการทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่นทำร้ายสังคม และทำลายโลกมนุษย์เอง ไม่แตกต่างอย่างไรจากชนที่ไม่มีศาสนามนุษย์ที่นับถือศาสนาต่างหากกลับก่อเหตุร้ายแรงต่างๆขึ้นขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ที่ไม่มีศาสนาจนถึงขึ้นรุนแรงป่าเถื่อนระดับโลกสากลก็มีนั่นคือ ก่อสงครามศาสนาขึ้นระหว่างมนุษย์สองฝ่ายที่ต่างก็นับถือศาสนาเช่น สงครามศาสนาระหว่างศาสนาคริสต์พวกหนึ่งกับศาสนาอิสลามพวกหนึ่งที่เรียกว่าสงครามไม้กางเขนหรือครูเสด ระหว่างปีค.ศ.1095 1291 ( พ.ศ.1638 1834 ) ซึ่งเป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามใดๆของโลกมนุษย์ สงครามศาสนาครั้งนี้มีสมรภูมิอยู่บริเวณปาเลสไตน์ปัจจุบันนี้เองเพราะสงครามศาสนาเป็นสงครามหลงอุดมการณ์จึงมีความต่อเนื่องยาวนาน ครูเสดนี้มีความยาวนานเป็นเวลาร่วม 200 ปีจึงยุติโดยได้มีเหยื่อผู้เสียชีวิตไปในสงครามเป็นจำนวนนับประมาณมิได้

 

            และมีสิ่งที่น่าสังเกตก็คือเดิมเริ่มแรกก็เป็นสงครามระหว่างนักรบแท้ๆหรือทหารระดับอาชีพที่นำโดยกษัตริย์ เช่น ริชชาร์ด ไลออนฮาร์ต แห่งอังกฤษและเจ้าผู้ครองนครต่างๆในยุโรป แต่ต่อมาเมื่อนักรบผู้ใหญ่ล้มตายลงไปหมด แม้กระทั่งเด็กๆก็พลอยถูกปลุกปั่นยุยงให้เข้าร่วมสงครามศาสนาด้วย นั่นคือ ครูเสดเด็ก ใน ค.ศ.1212 ( พ.ศ.1755 )ที่พวกบาทหลวงฝ่ายคริสต์ศาสนา สั่งให้เกณฑ์เด็กจากฝรั่งเศสและเยอรมันและบริเวณใจกลางยุโรปได้ถึง 50,000 คนตั้งเป็นกองทัพเด็กยกไปสู้รบหวังชิงดินแดนปาเลสไตน์ที่เกิดของพระเยซูที่ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ( The

Holy Land ) จากฝ่ายมุสลิมซึ่งรบชนะและครองดินแดนอยู่ขณะนั้น ครูเสดเด็กพวกนี้พากันไปสิ้นชีวิต ในสงครามเป็นจำนวนมากแต่ที่มากไปกว่าก็คือการผจญสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งและทะเลทรายในสมรภูมิตะวันออก ที่ไม่เหมือนยุโรป ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าอนาถใจอย่างยิ่ง และไม่น่ามีขึ้นเพราะความนับถือศาสนา

 

            แนวความคิดที่มิชอบด้วยศีลธรรมเลยเช่นเรื่องครูเสดเด็กของพวกคริสต์คาทอลิกนี้ ก็เคยนำมาใช้ในภาคเหนือของประเทศไทยและภาคใต้ของสหภาพพม่า เพื่อก่อกวนให้เกิดความปั่นป่วนแตกแยกในเชิงศาสนาขึ้นในประเทศไทยและพม่าซึ่งต่างก็นับถือศาสนาพุทธ โดยพยายามสร้างเป็นกองทัพเด็กกะเหรี่ยงขึ้นมาเรียกว่า ก๊อดอาร์มี ( God Army ) หรือกองทัพพระเจ้า แต่ก็ได้แสดงบทบาทกองโจรก่อการร้ายได้เพียงเล็กน้อยก็ถูกทางการไทยและพม่า ร่วมกันกำจัดไปเสียราบคาบในปี พ.ศ.2545 และไม่ปรากฏบทบาทอีก แต่แนวความคิดนี้ก็ยังถือว่าต้องเฝ้าระวังอยู่ต่อไป เพราะแม้ในสถานการณ์สามจังหวัดภาคใต้ไทยเร็วๆนี้ ก็เห็นชัดเจนว่าได้มีเด็กและเยาวชนร่วมในการก่อเหตุมาโดยตลอด แนวความคิดกองทัพเด็กก็พอเห็นอยู่ในตะวันออกกลาง อยู่ประปรายเหมือนกัน

 

            ส่วนศาสนาอิสลามนั้น ในประวัติศาสตร์อันสั้นเพียง 1,425 ปี ศาสนาอิสลามได้ก่อตั้ง และเผยแผ่ออกไปด้วยการทำสงคราม เป็นศาสนาที่ขยายศาสนจักรออกไปด้วยสงครามด้วยเลือด และเนื้อล้วนๆ (มิใช่ด้วยความ ศรัทธา ปัญญาและสันติวิธีล้วนๆเหมือนศาสนาพุทธ ) เริ่มด้วยสงครามเมืองเมกกะก่อน พอชนะแล้วจึงสถาปนาศาสนาอิสลามขึ้น เกิดมีเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา นามว่า อัลเลาะห์ แล้วขยายสงครามไปในนามเทพเจ้าองค์นี้เข้าไปในอินเดียเหนือรุกรานศาสนาพุทธจนตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องถอยหนีเปิดทางให้ ( ศาสนาอิสลามมุ่งทำสงครามฝ่ายเดียวเพราะฝ่ายศาสนาพุทธไม่รบด้วย ) แต่ศาสนาอิสลามต้องรบปะทะกับศาสนาฮินดูอย่างนองเลือด และนี่คือสงครามศาสนาอีกครั้งหนึ่ง อิสลามชนะฮินดูบางส่วนแล้วขยายไปสู่หมู่เกาะอินเดียตะวันออกและเข้าไปถึงเอเชียกลางถึงมาเลเซียเป็นเหตุให้คนในยุคนั้นตายลงนับล้านๆคน ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ไม่มีวันสงบสุขเพราะมีแต่การสงครามตลอดเวลา แม้กระทั่งทุกวันนี้ในดินแดนศาสนาอิสลามก็ยังคงมีสงครามและยืดเยื้อมองไม่เห็นเวลาที่จะยุติลงได้ ตามที่รัฐบาลของประเทศต่างๆพากันเสมอ ให้ประนีประนอมให้เกิดสันติภาพขึ้นในตะวันออกกลาง

 

 

 

            ในปัจจุบันนี้ ก็ยังคงมีสงครามศาสนา แต่กลายเป็นสงครามในศาสนาเดียวกัน เรียกว่าสงครามระหว่างนิกายศาสนา ได้แก่ ศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ กับ ศาสนาอิสลามนิกายชีอ๊ะห์ รบกันอยู่ในตะวันออกกลาง สำหรับศาสนาอิสลามมีการทำสงครามกันได้ทันที เมื่อการแบ่งแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ในศาสนาคริสต์ก็มีสงครามระหว่างนิกายศาสนาเช่นเดียวกัน และที่น่าสงเกตก็คือ สงครามในไอร์แลนด์ ระหว่าไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นนิกายโปรเตสแตนท์ ทำสงครามกับฝ่ายใต้ นิกายคาทอลิก มาอย่างยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่ไอร์แลนด์ประกาศแยกตัวออกจากอังกฤษในปี ค.ศ.1921(พ.ศ.2464) ตราบถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังรบกันอยู่รวมเวลาที่ทำสงครามศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายมาถึง 84 ปี เกือบศตวรรษแล้วศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกกับศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ก็ยังรบกันต่อไป ฉะนั้นจึงพอสรุปได้ว่า เมื่อมนุษย์นับถือศาสนาอย่างไม่เข้าใจศาสนา ศาสนาก็มิได้นำความสงบสุขมาสู่โลกเสมอไป เพราะเมื่อมีศาสนาเกิดขึ้นก็มีสงครามศาสนาตามมาเช่นกัน ก็เห็นอยู่อย่างชัดเจนว่าการศาสนาเป็นที่มาของความเดือดร้อนลำบากยากจนของมวลมนุษย์ และคำสอนนั้นน่าจะเป็นคำสอนที่หลอกลวงเสียมากกว่าจะเป็นความจริง เพราะหากศาสนามิได้นำมาซึ่งความสงบไม่สร้างภูมิปัญญาและไม่เป็นบ่อเกิดของสันติภาพแห่งโลกมนุษย์แล้ว ศาสนาก็ไม่ให้คุณอย่างไรแก่มนุษย์ จักควรชื่อว่าศาสนาอย่างไร ? มนุษย์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ศาสนา เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายตนเอง ให้ตนเองเกิดทุกข์

 

 

 

            ข้อสรุปในเรื่องศาสนาสากลบทนี้ ก็คือ เรื่องการศาสนาสากลเป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์ยุคใหม่ต้องศึกษาเพื่อให้ทราบเรื่องราวอย่างถ่องแท้ของการมีศาสนานั้นๆและเมื่อเราได้เรียนรู้ก็จะทราบเบื้องหลังของศาสดาผู้สอนศาสนานั้นๆ อย่างเป็นวิทยาการที่มีเหตุผลแล้ว เราก็จะได้พบความจริงว่า ศาสดาทั้งหลายนั้นเอง ที่พามนุษย์ทั้งหลายไปสู่ความเหลวไหล และไปสู่พันธกรณี ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตน จนเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ อย่างทาสที่ไร้อิสรภาพอยู่ของศาสนิกชนทั้งหลายโดยมากในทุกวันนี้ การศึกษาศาสนาสากลมีผลประโยชน์ที่จะได้ก็คือ เมื่อมนุษย์ได้หลุดพ้นไปจากพันธนาการที่โง่เขลาที่ศาสดาแห่งศาสนาต่างๆสอนไว้แล้วก็จะสามารถมองปัญหาของมนุษย์อย่างมีอิสรภาพ ไม่ถูกครอบงำทางสติปัญญาและมันสมอง จากศาสดาๆแห่งศาสนาทั้งหลาย ผู้อ้างคำสอนของพระเจ้าจากคัมภีร์ศาสนาของพระเจ้าต่างๆเสียที

            และเป็นมนุษย์ผู้ฉลาด มีสติปัญญามองโลกมองสิ่งทั้งหลายด้วยสติปัญญาของตนเองตามเหตุตามผลที่เป็นวิทยาการ วิทยาศาสตร์ อย่างเป็นอิสรชน และมองอย่างมีเหตุผล อย่างมนุษยชนผู้เจริญด้วยศิลปวิทยาการแล้วหรืออย่างน้อยก็เป็นมนุษย์ฉลาด โฮโมซาเบียน สมองโต มีขนาด ซีซี. สูงกว่าต้นตระกูลมนุษย์ คือโฮโมอิเล็คตัสมนุษย์วานร เมื่อ 1.8 ล้านปีโน้น

            และเริ่มต้นศึกษาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อันแท้จริงต่อชีวิตมนุษย์ จากการศึกษาวิทยาศาสตร์ภาคจิตใจของมนุษย์ และศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ศาสนาแห่งสันติภาพ ศาสนาแห่งความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงต่อไป.

 

 

  • ธรรมสามี
    ดี 33



หนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 33

บทบรรณาธิการ
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว จากดีเล่มที่ 33
ประชาธิปไตยสงฆ์ ประเด็น เหตุเกิด พ.ศ.๑
บันทึกโหร เกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายแรง ทสึนามิถล่มอันดามัน



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----