คอลัมน์กัลยาณมิตร
ท่านยังไม่รู้จักพุทธทาสภิกขุ 7
หนังสือ พุทธทาสลิขิต ฉบับลายมือ ของ พุทธทาสภิกขุ พิมพ์ครั้งแรกในวันพุทธทาส 27 พฤษภาคม 2541 โรงพิมพ์เม็ดทราย โทร. 882-5492-3 จัดพิมพ์ (จำนวน 4,500 เล่ม)
เป็นหนังสือเล่มพิเศษที่ไม่เคยมีการจัดพิมพ์มาก่อน บัดนี้คณะศิษย์ ร่วมกับมูลนิธิพุทธทาส คณะธรรมทาน และสำนักพิมพ์สุขภาพใจ ร่วมอำนวยการจัดพิมพ์ขึ้น ในเล่ม เป็นลายมือของท่านพุทธทาสตั้งแต่ต้นจนจบ ฉบับปกแข็ง จำนวนถึง 487 หน้า เปิดหน้าต้น ๆ และหน้าสุดท้าย มีลายมือท่าน ข้อความสำคัญว่า คุณย่าคุณปู่คุณยายคุณตาลูกหลานจะลาไปก่อนแล้ว ขอฝากพินัยกรรมเหล่านี้ไว้ให้ด้วยความรัก โปรดพิจารณาเป็นอย่างดีด้วยเถิด.
ท่านบอกว่าเป็นพินัยกรรมนั้นก็เป็นที่เข้าใจกัน เพราะข้อเขียนทุกชิ้นของท่านล้วนเป็นพินัยกรรมที่ล้ำค่าทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ท่านบอกให้ พิจารณาเป็นอย่างดี นั่นคืออะไร และอย่างไร เป็นพิเศษ
เราจะลองเข้าไปในหนังสือเล่มนี้ และพาท่าน พิจารณา ดู ว่ามีอะไรยอดเยี่ยมและยอดเยี่ยมที่สุด เราจะผ่านคำปรารภต่าง ๆ ไปจนถึงหน้าสารบาญ เราอ่านอย่างอ่านแผนที่ที่นี่ ก็พบว่า มีเรื่อง พินัยกรรม อยู่หน้า 1-50 เรื่องความลับสุดยอด อยู่หน้า 51-81 มีเรื่องธรรมะโดยหลักพื้นฐาน อยู่หน้า 82-111 มีเรื่องความคิดนึกชั่วขณะที่ต้องรีบบรรทึกไว้ก่อน : แต่จะลืมเสีย อยู่หน้า 112-432 และเรื่องสุดท้าย ปกิณกะ อยู่หน้า 433-487
ล้วนแต่น่าดูน่าชมทั้งสิ้น
แต่เราพอใจที่จะพูดสั้น ๆ จับเอา สิ่งที่เราคิดว่าเป็นหัวใจ ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรื่อง (ซึ่งแน่ละอาจจะไม่ตรงกับมติของนักปราชญ์อื่นหลายท่านก็ได้ )
เรื่องพินัยกรรม ท่านบอกไว้เองเลยว่า บางอย่างขอให้ช่วยคิดต่อ,ให้ช่วยวิพากษ์วิจารณ์ -บรรทัดสุดท้ายหน้า 8 ลึก ยากที่จะมองเห็นมันอยู่หลายอย่าง
พินัยกรรมในที่นี้คือสุดยอดของพระธรรมที่ท่านได้พบเอง การเปิดเผยสิ่งนี้เท่ากับเปิดเผยความลับของตัวท่านเอง เท่ากับบอกคุณภาพตัวท่านเองให้คนรู้ว่าแท้จริงตัวตนของท่านเป็นอย่างไร
เอาธรรมะข้อความเดียว หน้า 9
จิตเคยว่างชนิดที่วุ่นได้ (ปภัสรจิต) แล้วก็วุ่น (จนว่างไม่ปรากฎ) (สังขารคตจิต) แล้วก็ทำให้เป็นจิตว่าง, ไม่วุ่นได้อีก (วิสุทธิจิต) ก็จบหน้าที่ของชีวิต หรือพรหมจรรย์
นี่คือประเด็นสำคัญสุดยอดแห่งความเป็น พุทธทาสภิกขุ
จะขอแปลด้วยภาษาคนง่าย ๆ ว่า เมื่อใดทำจิตให้ว่าง คือเป็นจิตบริสุทธิ์จากกิเลส ไม่กลับมาวุ่นได้อีก ไม่กำเริบอีก ก็จบหน้าที่ของชีวิต หรืออยู่จบพรหมจรรย์ลง (อกุปฺธมฺโม=ธรรมะที่ไม่กลับกำเริบอีก)
จิตเคยว่างชนิดที่วุ่นได้ นั่นก็คือยังไม่ถึงระดับที่อยู่จบพรหมจรรย์ ที่อาจกล่าวได้ว่า จบหน้าที่ของชีวิต แล้ว นั่นเอง (เป็นจิตพระอริยบุคคลระดับล่าง ๆ หรือแม้จิตปุถุชนก็เป็นได้) ต่อเมื่อพัฒนาไป(คือตั้งหน้าประพฤติธรรมต่อไป) จนจิตนั้นบริสุทธิ์ไม่กลับมาวุ่นได้อีก นั่นแหละเป็น อยู่จบพรหมจรรย์ ฉะนั้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่านี่คือที่มาที่ไปของคำสอนเรื่องจิตว่างของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่เน้นว่าเรื่องนิพพานนั้นมีกันได้อยู่แล้วทุกคน ๆ ลองชิมดูเมื่อไรก็ได้ หากแต่คนทั่ว ๆ ไปนั้นยังหาอาจว่างได้โดยนิรันดรไม่ ต่อเมื่อว่างได้นิรันดร คือไม่กลับกำเริบอีก ก็จะถึง อยู่จบพรหมจรรย์ จบหน้าที่ของชีวิตแล้ว สุดสายทางแห่งมรรคผลในพระพุทธศาสนา (คือบรรลุธรรมสูงสุด ชั้น อรหัตผล นั่นเอง)
ย่อหน้าต่อ ๆ ไปในหน้า 9 ก็ล้วนเป็นข้อความที่อธิบายขยายความบทแรกนี้ให้กระจ่างขึ้น เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม ลองอ่านต่อไป
อาทิพรหมจรรย์ คือศึกษาและปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท,(ดังที่ตรัสว่า บัญญัติแต่ทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น), นั่นคือควบคุมผัสสะ ให้ได้ ให้เป็น วิชชาสัมผัสอยู่เสมอ ปริโยสานพรหมจรรย์ คือ ดับตนดับทุกข์
เคยวิเคราะห์แล้วว่า ผัสสะในทัศนะของท่านพุทธทาส เป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา (โปรดดู : ท่านยังไม่รู้จักพุทธทาสภิกขุ 5 ใน ดี เดือน ธ.ค.40 หน้า 36-38 ) แต่วิชชาสัมผัส หรือ ผัสสะ นี้เป็นเครื่องมือ หรือวิธีการ หรือ ข้อปฏิบัติ ในแนวทางการบรรลุด้วยปัญญาของท่านพุทธทาสภิกขุ (มิจำเป็นต้องเอาศีลเป็นบาทฐานก่อน แต่หัดเอาปัญญามาก่อน กลับกัน จาก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น ปัญญา สมาธิ ศีล) หมายความว่า ท่านผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องหมั่นควบคุมระวังหูตาจมูกลิ้นกายใจ อันเป็นประตูทั้งหกนี้อยู่เสมอ ในชีวิตประจำวันนี้เอง หรือแม้การตั้งใจปฏิบัติธรรมโดยตรงก็ทำโดยการเฝ้าดูเรื่องผัสสะนี้ ให้เห็นให้เข้าใจกระบวนการแห่งอายตนภายนอกที่ถูกลำเลียงเข้าสู่อายตนภายใน แล้วเกิดการปรุงแต่งขึ้นแล้วเป็นไปต่าง ๆ อย่างไร อย่างนั้น ๆ เป็นเหตุให้เกิดอะไร แล้วเป็นผลอะไร ๆ แล้วกลับเป็นเหตุต่อไปอีกอย่างไร ๆ ให้เข้าใจว่ากระบวนการเหล่านี้ประสานกันจนเป็นลูกโซ่แห่งอิทัปจยตาไปอย่างไรนั่นเอง
สุดยอดของความเข้าใจเรื่องผัสสะ ดูเหมือนท่านไม่ได้แย้มเอาไว้ แต่เก็บเป็นความลับไว้ ให้ผู้ที่ศึกษารู้เอง (และที่สำคัญให้เป็นสิ่งทดสอบตัวเองว่าถึงพระธรรมแล้วจริง สามารถแก้โจทก์ที่พลิกแพลง สลับซับซ้อนไปได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รู้ดีตามตัวหนังสือ แต่ที่แท้เป็นเพียงคนประเภท คุยเสียดีที่แท้แพ้กิเลส) และนั่นก็คือ เมื่อเราเอาคำว่า จิต หรือ ใจ ออกไปได้ เมื่อนั้นจะเข้าใจเรื่องผัสสะ ว่าเป็นสุดยอดจริง ๆ เป็นที่จบจริง ๆ ตายก่อนตายได้จริง ๆ เป็นเรื่องของ อิทัปปัจจยตาจริง ๆ เท่านั้นเอง
ดูบทที่เสริมต่อไปอีก หน้า 9 นั่นเอง
ระวัง ใช้ประโยชน์จาก โอปปาติกโยนิให้ได้ ให้เกิดเป็นปัณฑิตให้ได้ในทุกกรณี มีจิตว่าง จากการเป็นอะไรในทุกกรณี, มีแต่กาย+จิตทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในทุกความหมาย
ท่านเน้นว่า ให้มีจิตว่างจากการเป็นอะไร ในทุกกรณี นี่คือวิธีปฏิบัติ พยายามทำอย่างที่บอก คือทำให้จิตว่างตลอดเวลา ว่างหมายถึง ว่างจากการคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เราใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ เราเล็กอย่างนั้นอย่างนี้ ว่างจากปมด้อยปมเด่นทั้งหลาย ว่างจากความคิดนึกที่เป็นไปตามกิเลส ฯลฯ ในทุกกรณี หมายถึงทุกกาละเทศะ ทุกเหตุการณ์ ทุกสิ่งแวดล้อม ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าร้ายแรงหรือสงบสันติเพียงใด หากวางตัวว่างได้ก็สำเร็จ อยู่จบได้ นี่คือเคล็ดลับ ที่เป็นทางปฏิบัติตามแนวของท่านพุทธทาสภิกขุ แนวที่กลับเอา ปัญญา นำ สมาธิ ศีล เป็นตัวเสริม ซึ่งจะเห็นว่าเหมาะสำหรับยุคที่เร่งรีบ
เราจะไปค้นหาดูว่าในบทที่กล่าวถึง ความลับสุดยอด ว่ามีข้อความลับอันใด ที่อาจรับรอง สอดคล้องกับบทที่กล่าวมา หรือไม่ เพียงใด
ดูวรรคต้น ในหน้า 55 ความลับสุดยอด
ธรรมชาติไม่ได้สร้างชีวิตมาอย่างตายตัว เป็นบุญ-บาป, ดี,ร้าย, กุศล-อกุศล หากแต่เป็นไปตามกฎอิทัปป. แล้วแต่ใครจะสร้างมันอย่างไร
บทนี้ กลับเป็นบทที่เสริม พินัยกรรมนั้น เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องกรรม กฎแห่งกรรม จึงเป็นเพียงหลักธรรมชั้นตื้นต่ำแห่งพระพุทธศาสนา หลักที่ยอดเยี่ยมจึงเป็น กฎอิทัปปัจยตา
ดู บทต่อไปหน้า 55 นั้น
- เรื่องเพศสร้างมาสำหรับมนุษย์-สัตว์-พฤกษ์-ไม่-สูญพันธุ์ ไม่ใช่ของขวัญที่ใครจะเรียกร้อง บูชาในฐานะสูงสุด.
- การล้างบาป การยกเลิกกรรม ทำได้แต่โดยการกระทำให้ถูกต้องตามกฎ อิทัปป. มิใช่โดยพิธีรีตอง หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ
- สิ่งมีชีวิต ท.อยู่ได้ด้วยอาหาร ไม่ว่าในแง่ของ กาย-จิต-วิญญาณ คำว่า สัตว์ ควรมีความหมายว่า ข้องอยู่ในความมีชีวิตตามกฎอิทัปป.
- กามารมณ์ เป็นค่าจ้างทางเพศหรือเพื่อการสืบพันธุ์ของ ธ.ช.ธรรมชาติ ; มิใช่ของขวัญหรือหรรษทานแต่ประการใด; เลิกบูชากันเสียเถิด.
(บทนี้ ท่านมองไปถึงฝรั่งอเมริกัน ฝรั่งเศส ฝรั่งอังกฤษ ฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลาย ที่นิยมกามกันจนจักระบาดเป็นพิษเป็นภัยแด่โลก อย่างที่ปรากฎขึ้นมาแล้วในขณะนี้)
- พวกที่ถือพระเจ้า ถือว่าอะไร ๆ ก็แล้วแต่พระเจ้า, ส่วนชาวพุทธถือว่า ก็แล้วแต่กฎอิทัปปัจยตา, ดังนั้น ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า พระเจ้ากันเสียให้ถูกต้อง.
- การได้เกิดมามีชีวิตยังไม่ควรจัดว่าบุญหรือบาป, แค่ยังกลาง ๆ อยู่; แล้วแต่ว่าเราจะจัดให้เป็นอย่างไร,หรือจะให้พ้นบุญบาปไปเลยก็ได้
- อัสสาทะของ กิน-กาม-เกียรติ เป็นสิ่งหลงกันเกินไปจนเกิดปัญหา ที่แท้มันมีอาทีนวะโดยเท่ากัน; เอามันมาใช้เป็นกำลังงานทำความรอดดีกว่า
- มนุษย์ที่ไม่เข้าถึง ไม่รู้ความลับสุดยอดของมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ไปได้อย่างไร, มนุษย์คือผู้อาจมีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์ชนิดที่กำลังมีอยู่
- มนุษย์ไม่ควรบูชาอะไรนอกจากความถูกต้องของความเป็นมนุษย์เอง คือความมีจิตอยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์ ทุกประการจริง ๆ.
จากบทนี้ไป เป็นบันทึกต่อไปอย่างค่อนข้างมากมายหลายข้อ หลายบท มากจนท่านเองเสริมไว้หน่อย หน้า 61 ว่า ความลับสุดยอด (ทำไมมากมายเสียจริง, อ้ายโง่)" ที่ท่านว่า อ้ายโง่ นั้น เป็นธรรมะ ไม่ใช่ด่าผู้ใด เพราะ ถ้าเราฉลาดมีปัญญามาก ความลับก็มีน้อยหรือไม่มีเลย(ของวิเศษ ที่เคยคิดว่าวิเศษ ก็กลายเป็นของธรรมดาเมื่อรู้แล้ว) แต่ถ้าเราโง่ ความลับก็มีมากมายมหาศาล (เหมือน แต่ก่อน ๆ คนเรายังโง่ คนก็กลัวนั่นกลัวนี่มาก กลัวแม้กระทั่งดวงอาทิตย์ กลัวแม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ ๆ ภูเขาสูง ๆ กลัวลม น้ำ ดิน ไฟ ความลับสำหรับคนโง่จึงย่อมจะมีมากกว่าคนฉลาดมีปัญญา ดังอาจสังเกตจากลัทธิประเพณีต่าง ๆ ของมนุษย์ ที่มีมากมายหลายหลาก ก็ล้วนกำเนิดมาจากความโง่ของมนุษย์นั่นเอง
ความลับสุดยอดบทท้าย ๆ
- ทางสังคม เพิ่มวัยรุ่น อันธพาล, คนโรคประสาท-จิต,อาชญากรรมนานาชนิด ข้าราชการ-ครูอาจารย์โกง, พระอลัชชี,
ส่วนบุคคล.
- เป็นโรคจิต, โรคประสาท, เพราะรบกวน ทรมาน ทางจิต. ฆ่าตัวตาย, เพราะปัญหาเศรษฐกิจ. อาชีพ-สุขภาพ-ครอบครัว-สังคม-เพศ-วิกลจริต.
หนังสือเล่มนี้ พุทธทาสลิขิต มีอะไรพิเศษ เกินกว่าจะพูดให้จบในคราวเดียวได้ อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญอยู่ที่พินัยกรรมของท่านนั้นเอง
แต่ท่านอาจจะไม่เข้าใจว่า คำสอนที่สำคัญ อันเกี่ยวกับทางปฏิบัตินั้น ท่านเองมิได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ แต่นี่เป็นสิ่งที่ท่านกล่าวขึ้นภายหลัง เมื่อท่านมองเห็นว่าเป็นทางที่ง่ายและตรงกว่า หากปฏิบัติตามจักได้ผลเร็วกว่าแบบที่ท่านเคยปฏิบัติมา เช่น ให้มีจิตว่างจากการเป็นอะไรในทุกกรณี ควบคุมผัสสะให้ได้ ให้เป็นวิชาสัมผัสอยู่เสมอ อันเป็นวิธีที่ทุกคนสามารถฝึกปฏิบัติไปได้เองโดยง่าย
แต่หากจะถามว่า ท่านพุทธทาสท่านปฏิบัติมาอย่างไร ก็ต้องขอเชิญชวนให้พลิกดูหนังสืออีกเล่มหนึ่งของท่าน คือ พุทธทาส อนุทินปฏิบัติธรรม ศึกษาชีวิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ บันทึกรายวันขณะฝึกฝนตนอย่างเข้มข้นในวัยหนุ่ม คำว่า อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นี่แหละที่บอกที่ไปที่มาแห่งบุคคลิกภาพรวมถึงจุดยืนอันมั่นคงของท่านพุทธทาสต่อหลักการแห่งพระพุทธศาสนา ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พิศูจน์ได้ในแนววิทยาศาสตร์ และจะอยู่ตรงข้ามกับเทวศาสตร์หรือไสยศาสตร์เสมอไป
หนังสืออนุทินฯ จะบอกว่าท่านพุทธทาสได้เอาตัวเองไปฝึกฝนและทดลองอย่างเข้มอย่างมีข้อสมมติฐานมีหลักมีเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์เพียงใด และน้อยนักที่จักเข้าใจว่า ท่านปฏิบัติไปด้วยความยากลำบากไม่แพ้วิธีปฏิบัติแนวอื่นใดเลย แต่ผลนั้นนำไปสู่การบรรลุภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ยากแก่การที่จักเปรียบกับท่านผู้ใดได้.