นานาทัศนะ
กรณีวัดพระธรรมกายอาจถึงทางตัน
โดย คนนอก
หลังจากที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นอันประกอบด้วยเจ้าคณะภาค 1 รองเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้ตัดสินให้ยกคำฟ้องหรือข้อกล่าวหาของสองผู้กล่าวหาวัดพระธรรมกาย และในเวลาเพียงไม่กี่วันต่อมา มหาเถรสมาคมมีมติออกมาว่า ฆราวาสกล่าวหาหรือฟ้องพระได้ ทำให้สังคมชาวพุทธงงเต็กหรือช้อกไปเลย
คณะผู้พิจารณาชั้นต้นยืนยันว่าได้ดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11(พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมทุกอย่าง มติมหาเถรสมาคมที่ออกมานั้นเป็นเรื่องทีหลัง ชั้นคณะผู้พิจารณาชั้นต้นถือว่ายุติแล้ว ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหาทางออกไปคนละทิศละทาง แต่วัดพระธรรมกายเตรียมฉลองชัยชนะกันแล้ว
ที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นตัดสินให้ยกคำฟ้อง เพราะไปถือเคร่งครัดตามข้อ 15 ที่ไม่ได้ระบุลักษณะของผู้กล่าวหาเป็นฆราวาสเอาไว้ตามข้อ4 (8) ก. แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับดังกล่าว จึงตัดสินว่าฆราวาสฟ้องพระไม่ได้ ซึ่งเป็นความบกพร่องของคนเขียนกฎ ถ้าเพิ่มในข้อ 15 ซึ่งได้อ้างถึงข้อ 4 (8) เป็น ข. ด้วย จะไม่มีปัญหาเลย
ที่มหาเถรสมาคมมีมติว่า ฆราวาสฟ้องพระได้นั้น เชื่อว่าถือตามความในข้อ 4 (8) ข. ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าฆราวาสผู้มีคุณสมบัติฟ้องหรือกล่าวหาพระได้ และเคยทำเป็นตัวอย่างมาแล้ว เช่น กรณีนิกร ธรรมวาที และ กรณีพระยันตระ
กรณีเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ทราบว่าจะไปยุติลงเอยกันได้ตรงไหนและเมื่อไร ทั้งรัฐมนตรี ทั้งข้าราชการผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เห็นวิ่งวุ่นกันไปหมด รัฐบาลเองก็ไม่สบายใจมากนักแล้ว ส่วนวงการพระเถระผู้ใหญ่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กระหน่ำหนักเข้าไปอีก
หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ปลดเจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีออกจากตำแหน่งโดยอ้างเหตุสารพัดอย่าง สรุปแล้วคือช่วยเหลือคนผิด อุ้มวัดพระธรรมกายเอาไว้
ที่หนักหนาไปกว่านี้ คือ มีผู้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ให้เล่นงานพระผู้ใหญ่ทั้งสอง ในฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นและประพฤติทุจริตต่อหน้าที่ ข่าวว่าเจ้าหน้าที่รับเรื่องไว้แล้วตามระเบียบ
ที่นี้ก็มีปัญหาพูดกันต่อไปว่า
1. การปลดหรือถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่นั้นจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ใครจะเป็นคนดำเนินการและกล้าหาญดำเนินการหรือไม่
ในสายการปกครองคณะสงฆ์ การที่จะเสนอปลดหรือถอดถอนพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด ต้องให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดดำเนินการไปจนถึงมหาเถรสมาคม เพราะตำแหน่งทั้งสองมีพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประธานมหาเถรสมาคม โดยมติเห็นชอบของมหาเถรสมาคมแล้ว
ถ้า (สมมุติ) ว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม กล้าหาญเสนอปลดหรือถอดถอนต่อมหาเถรสมาคม แน่ใจได้มากน้อยเพียงไรว่า กรรมการมหาเถรสมาคมส่วนใหญ่จะเอาด้วย เพราะอะไรก็พอรู้ ๆ กันอยู่ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่มีมติเห็นชอบ ก็ไม่อาจปลดหรือถอนได้ มันจึงไม่ง่ายอย่างที่คิดกัน
2. มีบางคนพูดว่า ท่านพระเถระทั้งสองรูปนั้นเป็นเจ้าพนักงานจริงหรือไม่ ? การที่มีคนไปแจ้งพนักงานสอบสวนว่า ท่านทั้งสองมีความผิดในฐานละเว้นและประพฤติทุจริตต่อหน้าที่นั้นจะมีผลหรือไม่ ?
ประเด็นเป็นเจ้าพนักงานไม่มีปัญหา เพราะในมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ บัญญัติไว้ชัดว่า พระสังฆาธิการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ยังไง ๆ ก็เป็นเจ้าพนักงานแน่ ๆ
แต่ประเด็นปัญหามีว่า ใครจะเป็นผู้มีสิทธิ์อำนาจในการไปแจ้งความว่า เป็นเจ้าพนักงานละเว้นหรือประพฤติทุจริตต่อหน้าที่ และไปแจ้งความกับใคร ? ขนาดมีคนไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามแล้ว ยังมีผู้ท้วงว่าไม่ถูก ที่ถูกต้องไปแจ้งต่อมหาเถรสมาคม ยิ่งไปกันใหญ่ มหาเถรสมาคมที่ไหนจะมีหน้าที่รับแจ้งความข้อหาคดีอาญา
ข้อหานี้ถ้ามีการแจ้งความจริง เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นว่า พระเถระทั้งสองจะต้องปฏิเสธ ในที่สุดเรื่องก็จะต้องไปสู่ศาลสถิตยุติธรรม โอย
ปวดหัว
3. มีผู้แสดงความคิดเห็นว่า จะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่มหาเถรสมาคม เมื่อมหาเถรสมาคมมีมติว่าฆราวาสฟ้องพระได้อีกครั้งหนึ่ง จึงให้ผู้กล่าวหาทั้งสองคนเสนอต่อผู้พิจารณาคือเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีใหม่
ปัญหามีว่าทำได้ไหม เคยมีตัวอย่างมาแล้วหรือไม่ อาจจะเหมือนกับคดีความทางโลกบางคดีก็ได้ คือเมื่อตกไปแล้วเป้นอันยุติไปเลย เอาละ
.. สมมติว่าเริ่มต้นใหม่ได้ ก็ลองนึกภาพดูเถิด ผู้พิจารณาก็คนเก่า คณะผู้พิจารณาชั้นต้นก็คนเก่า ผลออกมามันก็คงอย่างเก่าหรือเหมือนเดิม
4. ยังมีทางออกอยู่อย่างหนึ่ง(ถ้ากล้าทำ)คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองดำเนินการตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ปัญหามีว่า เมื่อให้สละสมณเพศแล้วมีหลักฐานเพียงพอไหม ในการฟ้องร้องต่อศาลเอาผิดหรือลงโทษได้ เพราะเห็นคดีฟ้องร้องพระต่อศาลมาหลายคดี ที่ในที่สุดแล้วศาลยกฟ้อง เช่น กรณีพระพิมลธรรม กรณีเครื่องราชเจ้าคุณอุดม ฯ เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนจับกุมฟ้องร้อง เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่ามีหลักฐานแน่นหนามากทุกครั้ง
5. ถ้า (สมมุติว่า) จัดการตาม 4. วรรคต้น ที่ดินที่กว้านซื้อไว้เป็นจำนวนหลายพันไร่ ก็จะตกไปเป็นของส่วนบุคคล คือ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายทันที เพราะยังไม่ได้โอนให้วัดหรือเป็นของวัด
คราวนี้แหละความสับสนวุ่นวายและความแตกแยกของสังคมจะเพิ่มมากขึ้น พวกศาสนาอื่นนั่งดูไปอมยิ้มไป คอยหัวเราะก๊ากในที่สุด ถ้าไม่เชื่อก็คอยดู อย่าเพิ่งตายเสียก่อน ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าละเลยต่อหลักพระธรรมวินัย คือ จิตใจของคนไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย อะไร ๆ มันก็จะยุ่งยากอย่างนี้ ที่ออกกฎหมายมาใช้บังคับ เจตนารมณ์ก็บอกว่าเพื่อสนับสนุนพระธรรมวินัย หรือ เพื่อให้การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมีประสิทธิภาพรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่เอาไปเอามากลับทำให้ล่าช้ายุ่งเหยิงมากขึ้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ไว้ชัดว่า อธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดแล้วจะต้องรีบจัดรีบทำ คือ ต้องจัดการทันทีอย่าปล่อยชักช้าเป็นอันขาด แต่นี่ปล่อยให้เล่นกันเป็นปี ๆ ตามเกมส์ของสิ่งที่เรียกว่ากฎหมาย มีแต่จะเอาแพ้เอาชนะกันตลอด มันจึงสับสนวุ่นวายกันอย่างไม่รู้จบสิ้น กรณียุ่งยากเกี่ยวกับพระสาวกอย่างนี้ ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์คงทรงรำคาญที่สุด เหมือนเรื่องพระภิกษุเมืองโกสัมพีแตกกัน ทรงห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง พระองค์จึงต้องใช้วิธีปลีกหนีไปอยู่ป่าเลไลยกะ
กรณีวัดพระธรรมกายนี้ ถ้ามองในแง่ความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ก็น่าเป็นห่วงเอามาก ๆ เพราะชนในชาติได้แตกแยกความคิดเห็นกันอย่างกว้างไกลและกว้างขวางแล้ว และมันอาจจะเป็นเหมือนกับลัทธินิกาย ฝ่าหลุน กง ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่กำลังเร่งจัดการอยู่ในขณะนี้ก็ได้มีสิ่งที่ควรตั้งข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายมาไม่ค่อยมีเถระผู้บริหารสงฆ์ระดับใดเลย ที่ออกมาแสดงบทบาทความคิดเห็น พระสงฆ์เถระทั่วประเทศมีอยู่มาก ที่คิดว่ามีความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างดี แต่เห็นทั่วไปเฉย ๆ และเงียบ ๆที่ออกข่าวทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ บ่อย ๆ นั้น ก็เพียงพระสงฆ์อยู่นอกวงการบริหาร ไม่มีอำนาจหน้าที่ปกครองสงฆ์อะไรนัก ความคิดเห็นที่แสดงออกไปจึงไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร และบางท่านก็พูดแสดงออกตามความรู้สึกตามอารมณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตาถึงกฎเกณฑ์ที่พระเถรผู้ปกครองหรือบริหารสงฆ์ทั่วไปไม่แสดงบทบาทความคิดเห็นอะไรเลยนั้น ต้องมีอะไรครอบงำอย่างแน่นอน.