ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2539

 

 เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ. 2539

แผนงาน แผ้วสังคมด้วยธัมมะของ ปัญญาธโรภิกขุ

ต่อต้านเอดส์ต่อต้านอนารยธรรม

 

ในปี 2536 ประเทศไทยได้ประสบความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมอย่างหนัก มีคำว่า ตกเขียว และ โสเภณีเด็กไทย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก และยังมีวารสารต่าง ๆ ต่างประเทศเช่น Longman จารึกเอาไว้ว่า ประเทศไทยได้ชื่อว่า มีโสเภณีมากที่สุดในโลก  มีตนติดเอดส์มากที่สุดในโลก  คนไทย-สังคมไทยมีความนิยมวัฒนธรรมกามปรากฏอย่างออกหน้าออกตาทางสื่อมวลชนทุกแขนง โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ทุก ๆ ช่องในขณะนั้น  จนกระทั่งพระสงฆ์รูปหนึ่งทนดูอยู่ไม่ได้ จึงเปิดฉากการรณรงค์ต่อต้านทำสงครามวัฒนธรรมเพื่อปกป้องสังคมและวัฒนธรรมของชาติ รวมความถึงการปกป้องเปลือกที่หุ้มห่อของพระพุทธศาสนาอันสูงสุดในประเทศนี้  จึงเกิดแผนงาน  แผ้วสังคมด้วยธรรม นี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 ตราบปัจจุบันนี้  และการรณรงค์ระยะแรก ๆ มุ่งหมายเผชิญหน้าแบบตรงไปตรงมาเพื่อให้แตกหักไปข้างหนึ่ง ปรากฏในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสังคมไทยเป็นเวลายาวนานกว่า 16 ปี ต่อไปนี้

แผนงานแผ้วสังคมด้วยธรรมะ

ของ ปัญญาธโรภิกขุ(พระพยับ ปญฺญาธโร : อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ)

เริ่มงานครั้งแรกวันที่ 23 ตุลาคม พุทธศักราช 2536

ด้วยผลงานการวิเคราะห์สังคมใน เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

 

ต่อต้านเอดส์ต่อต้านอนารยธรรม

เพื่อร่วมมือกันต่อสู้สงครามรุกรานทางวัฒนธรรม

 

 

 

 

 

 

 

สารบาญเรื่อง

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2539

 

 

 

 

0.    ก่อนจะถึงเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว 2539

1.    ข่าวภาคดึก หลวงพ่อคูณเกิดอุบัติเหตุ

2.    ข่าวสองทุ่ม พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

3.    Nation News Talk  แดนเอดส์ที่วัดพระบาทน้ำพุ

4.    ข่าวสี่ทุ่ม  เก็บอัฏฐิหลวงปู่เทสก์

5.    ข่าวสี่ทุ่ม  เก็บอัฏฐิหลวงปู่เทสก์

6.    รายการสด  ปฏิรูปการเมือง ศาลปกครอง

7.    รายการขอคิดด้วยคน  เชียงใหม่700ปีต่อ

8.    ภาพลักษณ์ของผู้หญิงจากการโฆษณา

9.    เปาบุ้นจิ้น ปั้นแต่งเรื่องไปได้เรื่อย ๆ

 

10.  บทแทรกที่ 6   เป็นธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ

 

 

11.   รายการชีวิตนี้ยังมีหวัง  สมาธิคืออะไร มีวิธีการฝึกอย่างไร   

12.   ประกวดวงโยธวาทิตชิงถ้วยพระราชทาน

13.   ข่าว หลวงพ่อเกษม  เขมโก  มรณภาพ

14.   สีสันบันเทิง ดาราทีโบนถูกไฟครอบเสียชีวิต

15.   ข่าวต่างประเทศ อเมริกาไม่พอใจพม่าเรื่องยาเสพติด

16.   ตามล่าหาความจริง   กรณีป่าท่าชนะ

17.   ข่าวภาคเช้า  อ่องซาน ซูจี วิจารณ์รัฐบาลพม่า

18.   บอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์

19.   กฎแห่งกรรม คำถามว่าบาปไหม? การเกิดเป็นทุกข์อย่างไร?

20.   แนะแนวการศึกษาและอาชีพครู

 

21.   บทแทรกที่ 7  โลกาภิวัตน์ มิได้มีคำว่า  “สัมมา” 

 

22.   สวัสดีบางกอก หมอเทวดาเป็นเหตุให้ต้องยุติรายการกลางคัน

23.   ถ่ายทอดสด วันกองทัพไทย

 

24บทแทรกบทที่ 8    กาม และสัจธรรมแห่งกาม

 

24.1 ข่าว พ่อเลี้ยงทารุณลูกเลี้ยงวัย3ขวบ

 

25.   ไร้พรมแดน การต่อสู้เพื่อสันติภาพ

26.   รวมการเฉพาะกิจ เกลือไอโอดิน

27.   ตรงประเด็น เอี้ยวเกินไปเหนื่อยคอ

28.   ข่าว  ประหารชีวิตนายยอดชัด เสือภู่

29.   เช้าวันนี้ วิเคราะห์สถานการณ์ทารุณเด็กเพิ่มขึ้น

30.   ถ่ายทอดสด  “การละหมาดในค่ำที่  27  แห่งรอมฏอน”

 

31.   แผ่นดินธรรม  หลวงพ่อพุธ ฐานิโยเทศน์

32.   ความรู้เรื่องเอดส์  เขาสร้างกรรมของเขาเอง

33.   ชีวิตนี้ยังมีหวัง เมื่อมาพบความสงบจากการฝึกสมาธิ

34.   ข่าว วิเคราะห์เจ้าแม่กวนอิมและพระอนุตรธรรม

35.   10 มีนาคม พุทธศักราช   2539

        พระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

36.   ข่าว ชิงแชมเปี้ยนโลก  ที่ศรีสะเกษ รัตนพลเสียแชมป็ คัสติลโญ่

 

37.  บทแทรกที่ 9  กลุ่มมนุษย์ผู้เหลือรอดอยู่จากมหาภัยแห่งโลก

 

38.   ข่าว รักร่วมเพศ แต่งงานเพศเดียวกันในอเมริกา

39.   ภาพยนตร์จีน จุดอันตรายต่อสังคมไทย

40.   สวัสดีบางกอก แสงชัย สุนทรวัฒน์โดนลอบทำร้ายสิ้นชีพ

 

41.  บทแทรกบทที่ 10  กลุ่มมนุษย์ผู้อยู่รอดจากมหันตภัยของโลก

 

42.  บทสรุปทั้งสิ้น การศึกษาเพื่อความอยู่รอดของโลกยุคโลกาภิวัตน์

 

43.   การอ้างอิง

        รวมบทวิเคราะห์สถานการณ์วัฒนธรรมโลก :

        เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

        พ.ศ.2537 - พ.ศ.2538 – พ.ศ. 2539

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าวภาคดึก หลวงพ่อคูณเกิดอุบัติเหตุ

ช่องต่าง ๆ

7  ม.ค.  39

 

รายงานหลวงพ่อคูณ  วัดบ้านไร่  เกิดอุบัติเหตุบนทางหลวง  รถชนกันพลิกคว่ำ  คืนวันที่  7  ม.ค.  39  แต่หลวงพ่อคูณปลอดภัย  ไม่มีใครได้รับอันตราย   รถเบนส์บุบไปสองคัน  ผู้ที่จะพอใจที่สุดก็คงเป็นบริษัทรถเบนซ์  เมื่อได้เห็นผลกระทบการรักษาความปลอดภัยของรถเบนซ์  พวกทำรถเขาคงไม่คิดแม้แต่น้อยว่าเวทมนต์จะช่วยอะไรได้  หากแต่ระบบวิทยาศาสตร์การรักษาความปลอดภัยในรถนั้นต่างหากที่ควรสนใจและทำการพัฒนาไป  ให้ถูกหลักวิทยาศาสตร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าวสองทุ่ม พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ช่องต่าง ๆ

วันที่  8  มกราคม  2539 

 

พระราชทานเพลิงหลวงปู่เทสก์  เทสรังสี  (พระราชนิโรธรังสี  คัมภีรวิสิษฐ์)  วัดหินหมาเป้ง  จ.หนองคาย  คนหลั่งไหลไปงานศพหลวงปู่มืดฟ้ามัวดิน  จริงอยู่  !  ประชาชนมีความสำคัญในตัวท่านว่า  ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ  แต่ประชาชนมักไม่ค่อยคิดว่า  พระยามที่มีชีวิตอยู่ให้อะไรเราได้มากกว่ายามที่ตายไปแล้ว  ทำไมจึงไม่รีบแสวงหาสิ่งที่เรานึกเราคิด  เราเลื่อมใสว่าดีว่าวิเศษ  ว่าเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ  เสียตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่  เมื่อท่านสิ้นไปแล้ว  แม้ได้ก็ได้เพียงแค่ความคิดนึกเท่านั้นเอง  หากท่านเป็นพระอรหันต์  ท่านจะช่วยเราได้เต็มที่ก็เฉพาะเมื่อท่านยังเป็นอยู่เท่านั้นเอง  เมื่อสิ้นไปแล้วก็เท่ากับเพชรนั้นป่นละลายสิ้นไปจะได้ประโยชน์อะไร  เรื่องนี้น่าที่ชาวพุทธจะคิดกันใหม่ให้ถูกต้อง  อย่าไปหวังอะไรจากคนตาย  แต่คนเป็นสิจะให้เราได้    ถ้าเป็นเรื่องการศึกษา   ก็มีโอกาสเรียน  ถาม  ทบทวน  ให้เข้าใจสิ้น  ความสงสัยได้  แต่นี่แหละ  !  ปัญหาที่คนยึดมั่นในอัตตากินไป  คิดใหญ่จนกระทั่งอ่อนลงไปไม่ได้  จึงเสียประโยชน์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 Nation News Talk  แดนเอดส์ที่วัดพระบาทน้ำพุ

ช่อง  9 

วันอังคารที่  9  ม.ค.  39 

 

เรื่องผู้ป่วยเอดส์ที่วัดพระบาทน้ำพุลพบุรี  พระจบปริญญาตรี-โทมาทำงานช่วยผู้ป่วยอยู่ที่นี่  ใช้เงินเดือนละล้านบาทไม่คุ้มกับงานที่คนป่วยเข้ามาวันละหลาย    คน  ตายทุกวันจนเผาไม่ทัน  ต้องสั่งเตาคอมพิวเตอร์มาจากอเมริกา  เพื่อตั้งโปรแกรมจัดการเผาได้เร็วตามต้องการ  มีพระ  13  รูป  ก็เป็นพระป่วยเป็นเอดส์  ช่วยสวดศพคนเป็นเอดส์  เป็นสังคมเอดส์สมบูรณ์แบบ  เว้นเจ้าอาวาส  นี่คือวัดพระบาทน้ำพุ  มีผู้ป่วยเอดส์มารอวันตายที่นี่ อีกไม่นานก็จะตายเพิ่มขึ้นกว่านี้เป็นวันละ  5-6  คน  เพราะที่มาล้วนอยู่ระยะร้ายแรงทั้งสิ้น  แต่ละคนตัวผอม  เท่ากะปอมเห็นจะได้  ตายแล้วไม่มีญาติมารับเอากระดูกไปทำบุญ  เพราะรังเกียจ  กองกันอยู่หลายร้อยห่อกระดูก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าวสี่ทุ่ม  เก็บอัฏฐิหลวงปู่เทสก์

ช่อง  9 

วันอังคารที่  9  ม.ค.  39

 

เก็บอัฏฐะหลวงปู่เทศก์  หลวงพ่อคูณเริ่มออกงาน  ตราบที่มีลมหายใจอยู่  ภาระไม่รู้หมดสิ้น  สำหรับพระหรือผู้ที่เป็นทาสในพระศาสนาโดยแท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  รายการสด  ปฏิรูปการเมือง ศาลปกครอง

ช่อง  11

วันพุทธที่  10  ม.ค.  39  หลังข่าวสองทุ่ม 

 

มีนักการเมืองและนักวิชาการการเมืองและกฎหมาย  3   คนมาพูดคุยแสดงความรู้ความคิดความเห็นกันเรื่องศาลปกครอง  และเรื่องอื่น    และรับฟังและตอบปัญหาจากประชาชนที่โทรศัพท์ถามเข้ารายการว่ามีแนวทางจะทำกันอย่างไร  รายการนี้จัดโดย  คณะกรรมการปฏิรูปการเมืองของรัฐบาล  มีประชาชนถามปัญหากฎหมายเข้ามารายหนึ่ง  แล้วคำตอบก็ง่าย  ๆ ว่า  ให้ฟ้อง  แต่ในความจริงที่เป็นอยู่การฟ้องร้องนั้น  เป็นเรื่องใหญ่และยืดเยื้อที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไป  เมื่อมีคดีก็มีรายการจ่ายที่รอบตัวและหนาแน่นขึ้นมันทีทันใดเหมือนน้ำท่วม  ทั้งนี้กล่าวตามสถานการณ์ที่เป็นจริงอยู่ทุกวันนี้  จนอาจกล่าวได้ว่า  หากใครมีเรื่องฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลแล้วก็เท่ากับเป็นการล้างผลาญตัวเองอย่างจงใจก็ว่าได้  โดยเฉพาะการฟ้องร้องเกี่ยวกับปัญหาที่ดินแล้วละก็  ไม่เห็นทางที่จะเรียกได้ว่ามี  ความยุติธรรม  สำหรับประชาชนเลย  บางทีคำตาบ  และแนวความคิดของท่านที่สวมเสื้อนอกมานั่งพูดคุยกันทางจอทีวีนี้  จะบอกว่าท่านเหล่านี้ช่างมีประสบการณ์เกี่ยวกับประชาชน  ในลักษณะมวลประชาชาติทั้งมวลหรือลักษณะแห่งพื้นฐานวัฒนธรรมอันละเอียดอ่อนนี้น้อยจริง ๆ  แทบไม่ได้สัมผัสอะไรกับลักษณะเช่นนั้นเลย แล้วเราจะคิดปฏิรูปการปกครองกันรอดตลอดไปได้อย่างไร  ?  ถ้าเราไม่เริ่มด้วยความเข้าใจลักษณะอุปนิสัย  ความเป็นไปของประชาชาติทั้งมวลเสียก่อน  เดี๋ยวนี้  สิ่งที่ต้องกลับใจกันใหม่นั้นคือถ้อยคำบางคำในวงการศึกษา  คือ  รู้จักเมืองไทยของตัวเองยังน้อยกว่ารู้จักเมืองอเมริกาหรือยุโรป  เสียอีก  แล้วไม่มีใครเฉลียวว่าคนที่รู้จักประเทศตัวเองน้อยเช่นนี้  เหมาะที่จะปกครองประเทศอยู่หรือ  ? 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รายการขอคิดด้วยคน  เชียงใหม่700ปีต่อ

ช่อง  9 

10  ม.ค.  39 

 

วันเดียวกันกับรายการข้างต้นของช่อง  11  เนิ่นไปจากเดิมหน่อยจนสงสัยว่าไม่มีรายการนี้เสียแล้ว  วันนี้พูดกันต่อเรื่องเมืองเชียงใหม่อายุ  700  ปี  ไม่ทราบเหมือนกันว่า  ท่านผู้ดำเนินการอภิปรายเอาผ้าแถบอะไรมาพาดที่บ่าขวา  น่ามีความอธิบายบ้าง   ว่าเอามาพาดบ่าทำไม  ?  คืออะไร  เกี่ยวกับเชียงใหม่หรือ  ? 

 

ท่านที่ร่วมอภิปรายมาทั้ง  2  สัปดาห์นี้ได้สะท้อนว่าท่านทั้งหลายล้วนมีความรักและหวงแหนอย่างเหลือเกินในเมืองเชียงใหม่  เชียงใหม่นี้เป็นเมืองที่ใคร    ก็รักและหวงแหนเชียงใหม่ช่างเป็นที่รักของทุก  ๆ คนยิ่งพอ    กับประชาชนของเชียงใหม่เอง  นั่นคือความเป็นมนุษย์   ความรู้สึกที่สะท้อนจากความเป็นมนุษย์  แต่ยุคโลกาภิวัตน์ไม่ปรานี  หรือไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความปรานี  คนเราจึงยากที่จะหวังว่า  จะได้อะไรดั่งใจปรารถนา  เพราะสัจธรรมมีอยู่ว่า  เราเลือกเกิดไม่ได้  อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของโลกทั้งมวล  และโลกจึงย่อมเป็นทุกข์เสมอมาและเป็นอยู่และจะเป็นไปด้วยทุกข์เช่นนี้  ชั่วนิรันดร  การแก้ปัญหาใดใดจึงต้องแก้ด้วยความเข้าใจในปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง  จึงจะสำเร็จ  คือเอาทฤษฎีความรู้  ที่มีหลักอยู่ว่า  เมื่อใดผู้ใดได้รู้แจ้งทุกข์ทั้งสิ้นทั้งมวลโดยตลอดปลอดโปร่งแล้ว  ย่อมรู้วิธีทำให้สิ้นอาสวกิเลส  ย่อมสำเร็จมรรคผลอันสูงสุดได้  (รู้ทุกข์โดยกระจ่างแจ้งแล้วก็จะรู้วิธีพ้นทุกข์ได้เอง)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ภาพลักษณ์ของผู้หญิงจากการโฆษณา

ช่อง  11 

11  ม.ค.  39  หลังข่าว  2  ทุ่ม 

 

เอาผู้นำสตรีที่ต่อสู้มา  มีมูลนิธิเพื่อนหญิงกับ  คนทำโฆษณาขาย  มาถาม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 เปาบุ้นจิ้น ปั้นแต่งเรื่องไปได้เรื่อย ๆ

ช่อง  3 

12   มกราคม  39  หลังข่าว  2  ทุ่ม 

 

สอบจอหงวนได้แล้ว  ก็ฉลองกันในช่องนางโลม  ดื่มเหล้า  เคล้าโสเภณี  จนเป็นธรรมดาหนังจีนต้องมีของลามก    เช่นนี้  แสดงออกคู่กับความเป็นวีรบุรุษ  วีรบุรุษหนังจีนจึงล้วน  ต้องเก่งต้องเกลือกกลั้วอบาย  เมื่อนำสายตามวลชน  จึงกลายเป็นการสอน  คนให้ชื่นชมโน้มใจไปสู่อบาย  สอนภาพ  สอนความนิยมให้แก่คนมีกิเลสอย่างเขลา เอาอย่างทางที่เสื่อมเสีย  ผิดศีลธรรม  ทำให้คนลามกในสังคมเหิมเกริมขึ้น  จนไม่รู้จักความอาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รายการชีวิตนี้ยังมีหวัง  สมาธิคืออะไร มีวิธีการฝึกอย่างไร   

ธรรมะช่อง  3 

วันอาทิตย์ที่   14  ม.ค.  39 เวลา  08.00  น. 

 

รายการสมาธิเพื่อการศึกษา  นักเรียนหลายโรงเรียนมาฟังหลวงพ่อแสดงธรรมะและพาทำสมาธิ  วิธีการกราบที่เป็นแบบเป็นแผน  มีจังหวะขั้นตอน  และดูแปลกเพราะมีวิธีการเล็ก  ๆ น้อย    บางอย่างที่ไม่เหมือนแบบทั่ว    ไป  ที่คนทั่วไปฝึกทำกัน  ซึ่งมักจะเป็นไปแบบสบาย ๆ  แต่แบบที่หลวงพ่อบอกให้นี้  อาจทำให้รู้สึกว่ายาก  ต้องมีเวลาฝึก  แต่นั่นแหละคือการฝึกสมาธิ  ตั้งแต่ฝึกให้รู้จักกราบ  สำหรับเด็กเล็ก    ทำให้รู้จักควบคุมจิตใจ  ให้สามารถทำไปได้ตามแบบแผนตามจังหวะที่กำหนดให้นั้น  และรู้จักทำให้พร้อม     กัน และเหมือนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  น่าจะบอกให้ทราบจากรายการวันนี้  ที่พาฝึกกราบฝึกไหว้นี้ว่า  สมาธิ  คืออะไร  และทำได้อย่างไร 

 

หลักและธรรมชาติแห่งสมาธิ ชั้นต้น 

 

ถ้าเข้าใจได้  สมาธิก็คือความตั้งใจ  นั่นเอง  เราทำอะไร  ที่ไหน  เมื่อไร  ก็ได้  ถ้าทำด้วยความตั้งใจก็เรียกว่าทำสมาธิ  ฝึกสมาธิได้เหมือนอย่างที่เด็กมาฝึกกราบฝึกไหว้ตามที่หลวงพ่อชี้แนะ  ว่ามือต้องอย่างนั้น  มี  3  จังหวะหรือ  3  ขั้นตอนอย่างนั้น  ท่าที่  1  ต่างจากท่าสุดท้ายอย่างนั้น  ท่าที่หนึ่งไม่ก้มหัว  แต่ท่าสุดท้ายต้องก้มหัวลงมาหน่อย   เอ้ากราบพร้อม     กัน  ท่าที่  1  ท่าที่  2  ท่าที่  3  อย่างนี้  แหละไม่ต่างกันเลย  เหมือนทหารฝึกแถว  เหมือนระบำบนเวที  เหมือนการแปรขบวนในซีเกมส์  เหมือนขบวนโยธวาทิต  เหมือนนักกระโดดร่มดิ่งพสุธา  ฯลฯ  โดยที่เอา  “ความตั้งใจ”  ใส่เข้าไปในการงาน  ถ้าเราทำงานทำการอะไร  หรือบอกลูกบอกหลานให้ทำงานทำการ  ก็บอกมันไปว่า  “ตั้งใจทำ”  บอกหลานให้ทำงานทำการ  ก็บอกมั่และให้เขาตั้งใจทำอย่างนี้อยู่เสมอไป  ไม่ว่าทำอะไร    ก็ทำด้วยความตั้งใจนั่นแหละคือการฝึกสมาธิ  เขาก็กลายเป็นคนที่มีสมาธิดีอย่างแน่นอน 

 

และการฝึกสมาธิแบบนี้จะมีประโยชน์มาก  เพราะจะเป็นการฝึกไปด้วย  และได้งานได้การไปอย่างดีด้วย  ตัวอย่าง  ชาวนาตั้งใจทำนา  ก็เรียกว่าชาวนาฝึกสมาธิ  พ่อค้าตั้งใจค้า  ก็เรียกว่าฝึกสมาธิ  ทหารตั้งใจฝึกแถว  ก็เรียกว่าทหารฝึกสมาธิ  ลูก    ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน  เวลาอ่านก็ตั้งใจอ่านเวลาเขียนก็ตั้งใจเขียน  เวลาวาดภาพก็ตั้งใจวาดภาพ  เวลาเล่นกีฬาก็ตั้งใจเล่นกีฬา  ตั้งหน้าตั้งตาเดิน  เวลาวิ่งก็ตั้งใจวิ่ง  เวลารับประทานอาหารก็ตั้งใจรับประทานอาหาร  นักมวยตั้งใจฝึกซ้อม  เวลาต่อยก็ตั้งใจต่อย  ทุ่มเทจิตใจให้เต็มที่ นั่นแหละลักษณะของงานสมาธิ  หรือตัวสมาธิที่แท้จริง 

 

พูดง่าย     อีกที  สมาธิก็คือ  ความตั้งใจ  จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนมาก  ประเทศชาติเราจะมีความก้าวหน้ามากด้วยการที่ประชาชนทุกเหล่าทุกหมู่กลุ่มมีความตั้งใจ  เอาจริงเอาจังกับการงาน  และหน้าที่  อาชีพของตนเอง  เพราะประชาชนทั้งชาติ  ทำอะไร    ก็ตาม  ทำด้วยความตั้งใจ  อย่าทำกันเล่น    เช่นนักการเมืองก็ต้องทำงานการเมืองกันอย่างมีความตั้งใจอย่าทำเล่น    ประชาชนก็ต้องมีสมาธิในการงานการเมืองกันให้มากกว่านี้คือ  มีความตั้งใจกันมากกว่านี้ ครูอาจารย์ก็ต้องมีสมาธิ  คือตั้งใจสอนกันมาก  กว่านี้เป็นต้นเพื่อที่จะไม่ต้องเสียดายเวลาที่ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ภายหลัง  ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อชี้ว่า  สมาธินั้น  ก็หมายถึงการเอา  ความตั้งใจใส่เข้าไปในการกระทำ  นั่นเองไม่ว่าจะทำอะไร          อยู่  เอาความตั้งใจใส่เข้าไป  ก็เรียกว่า  สมาธิแล้ว 

 

 

ฉะนั้น  สมาธิจึงสมารถฝึกเอาได้จากชีวิตประจำวันนี่เอง  อย่างมีผลทางสมาธิได้  พอ    กับการฝึกโดยเทคนิคอย่างที่มีฝึกกันตามวัดสายวิปัสสนา  หรือวัดนั่นเอง  ไม่แตกต่างกันเลย  ทั้งบางกรณีอาจจะยากกว่าการฝึกในวัดด้วยซ้ำ  ให้ผลแรงเร็วกว่าด้วยซ้ำ  แต่ในวัดมักจะฝึกความสงบทางจิตใจโดยตรง  คือตรงไปสู่จิตเลย  คือนั่งหลับตาแล้วตั้งใจทำจิตให้เป็นอะไรก็แล้วแต่  โดยเอาความตั้งใจใส่เข้าไปเช่นเดียวกัน  เช่นตั้งใจให้มันสงบ  ตั้งใจให้จิตนิ่ง   ตั้งใจให้จิตเคลื่อนไหว  เป็นจิตกีฬาอย่างนั้นอย่างนี้  ตั้งใจชำระจิตให้สะอาด  ตั้งใจทำจิตให้เกิดการนึกการคิด  ให้เกิดการเพ่งดูภายใน  หรือจิตวิปัสสนา  หรือเพื่ออภินิหาริย์ทางจิต  ฯลฯ  ก็แล้วแต่  ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าสมาธินั้นก็คือ  สิ่งที่มีชื่อเป็นอาการกิริยาว่า “ความตั้งใจทำ”    นี่คือหลักและธรรมชาติแห่งสมาธิ ชั้นต้น 

 

 

หลักและธรรมชาติแห่งสมาธิ ชั้นสูง

 

ส่วนสมาธิชั้นสูงนั้น เป็นหลักของธรรมชาติอันบริสุทธิ์  เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ  ซึ่งสมาธิแบบนี้มักจะเป็นเรื่องภายในโดยตรง  แต่คนที่มีศาสนาจะต้องเข้าใจก่อนว่าสมาธิในการงานประจำวันนั้นมีอยู่  โดยใส่ความตั้งใจเข้าไปในการงานนั่นแหละ  เป็นสมาธิจริงเหมือนกัน  อย่านึกว่าของเล่น ๆ ซึ่งก็หมายความว่าจะทำให้การฝึกมีการพัฒนาไปสู่สมาธิชั้นสูง คือขั้นธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้วิธีอื่นใด  ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับชีวิตฆราวาสอยู่แล้ว  เพราะจะสามารถพัฒนาสมาธิของตนไปสู่สมาธิชั้นสูงได้เช่นเดียวกัน  แต่จะดีเสียอีกเพราะได้งานไปด้วย  ดูวิธีฝึกของหลวงพ่อวัดอัมพวันวันนี้แล้วกัน  เมื่อเด็ก ๆ เข้าวัดนั้นก็ให้เริ่มฝึกกันตั้งแต่  ตั้งใจกราบให้ถูกต้อง  ตั้งใจสวดมนต์ให้ถูกต้อง  ฯลฯ  แม้ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน  ถ้าเข้าวัดแล้วตั้งใจกราบตั้งใจไหว้  ตั้งใจนั่ง  ตั้งใจยืน  ตั้งใจประพฤติให้ถูกธรรมเนียมแห่งศาสนา  ไม่ว่าธรรมเนียมของศาสนาใด  ก็เรียกว่ามีการฝึกสมาธิกันไปแล้ว 

 

ถ้าเข้าไปในสถานที่ที่เขาบอกว่าที่ฝึกนั่งสมาธิก็เข้าไป  ตั้งใจนั่ง  ตั้งใจทำให้เกิดความเงียบ  ตั้งใจทำให้นิ่ง  อย่าทำให้เกิดความพลุกพล่าน  ถ้าเขาบอกว่านับลมหายใจเข้าว่า  พุทธ  ลม  หายใจออกว่า  โธ  ก็ตั้งใจทำอย่างที่เขาว่า  คือตั้งใจจริง    นับเอาจริง    ว่าเอาในใจว่า  พุทธ  ว่า  โธ  จริง    ไม่ทำเล่น    นี่ก็เป็นการฝึกสมาธิเห็นไหม  ?  วิธีการมีหลายหลากอย่างไรก็ตามแต่สาระสำคัญคือ  ความตั้งใจฝึกไปจนกว่าจะเป็นผล 

 

ผลของการฝึกสมาธิที่แท้จริงที่จะต้องเอาให้ได้เพื่อเป็นพื้นฐานงานขั้นต่อไปนั้นก็คือ  ความกล้าหาญ   ความเป็นวีรชน  ความเข้มแข็งแห่งดวงจิต  ความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด   และความเป็นหนึ่งแห่งดวงใจ  การฝึกสมาธิถ้าไม่มีผลเช่นนี้บังเกิดขึ้นแล้ว  ชื่อว่าทำไปเปล่า  วิธีที่ฝึกจะไม่ถูกต้อง 

 

 

ผลของการฝึกสมาธิที่ถูกต้อง

 

ผลคือความเข้มแห่งจิตใจ  ความเป็นหนึ่งแห่งจิตใจ  จะเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปเรื่อย    ก็จะได้ผลทางจิตหลายหลากประการ  เช่น  ความกล้าหาญ จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย  (เหมือนความกล้าหาญของทหารไทย)  ปรากฏเป็นความสุขความสงบทางจิต  คือสงบนิ่ง  ก็มี    เป็นความโลดโผนโจนทะยานไปเพราะจิตมีกำลังแข็งแรงเต็มที่ก็มี  ปรากฏเป็นความห้าวหรือกล้าหาญแห่งจิตไม่หวั่นไหว  มีประกายหรือสีแสงแห่งดวงตาที่มั่นคง  ทรงอำนาจ  แล้วเลยไปถึงความมีอำนาจสะกดจิต  ก็มี  จนถึงผลภายในโดยเฉพาะโดยตรงที่ทรงอานุภาพเกินล้ำความหมายทางภาษาถ้อยคำ  เช่น  ปรากฏนิมิตต่าง ๆ  หลายหลากชนิด  ขึ้นภายในจิตก็มี  อันเป็นชั้นสูง  สมารถบิดเบือนต่าง ๆ  ได้ด้วยอำนาจจิต  หรือมโนมยิทธิ  ซึ่งในระดับที่มาขั้นนี้  จะเป็นเรื่องของอำนาจทั้งสิ้น  และจะเป็นสิ่งที่ให้ความสนุกสนาน  ภาคภูมิใจอย่างสูง  ในฐานะผู้ทรงอำนาจ  (อำนาจภายในคนอื่นไม่รู้) 

 

 

 

ระวังอำนาจทางจิตพลังความคิดพลังจินตนาการจะพาหลงไป

 

เมื่อได้ผลเช่นนี้แล้ว  ก็มักจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี   เพราะเมื่อจิตมีกำลังมีอำนาจขึ้นแล้วก็มักจะลืมหลงไปตามกิเลส  เอาไปทำบาปทำชั่วเสีย  หรือแม้ไม่ถึงกับบาปกับชั่ว  แต่ไม่ค่อยบริสุทธิ์  มีเปรอะ      เปื้อน  ๆ ก็ไม่ได้  เพราะ  จะเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย  เพราะสถานะทางจิตอย่างนี้ยังไม่ใช่การบรรลุมรรคผล   แต่ลุอำนาจบางอย่างหรือฤทธิ์บางอย่างเท่านั้น  หากแต่สิ่งที่ดีวิเศษกว่าคือมรรคผล  ยังไม่ทันไปถึง  ก็ต้องประคองตัวไว้  เพราะมรรคผลจะอาศัยสำเร็จด้วยสมาธิก็ได้  ฝึกต่อไปหากมีหลาย    อย่างที่ละเอียดอ่อน  อ่อนไหวมาก    แต่แฝงความสุขความสงบ  ความปิติยินดี  ฯลฯ  อันลึกซึ้ง  อันเป็นธรรมารมณ์ที่สามารถเรียกชื่อด้วยภาษาสมมติได้บางคำ  นั่นก็จะไม่เรียกว่าสมาธิ  แล้ว  นั่นอาจเรียกว่า  ฌาน  ก็ได้  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง  ตอนนี้เลือกเอาได้  ว่าจะนั่งสมาธิเพื่อเอาฌานอย่างไหน  เข้าสู่ฌานห้องไหน  เพราะจะเหมือนเป็นห้อง    จะอยู่หรือเข้าไปสู่ฌานอย่างไหน  ห้องไหนเลือกเอา  แต่ขั้นนี้   ยาก  ไม่มีใครทำได้แล้ว  แม้พระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นครูบาอาจารย์เองก็ยาก  เพราะต้องผ่านขั้นตอนที่มีความอ่อนไหว  ละเอียดอ่อน  ทั้งกว้างใหญ่ไฟศาลยิ่งไปให้ได้  นั่นคือยังวิเคราะห์ไม่ได้ แยกสายทาง  เส้นทางไม่ได้  เพราะตรงนี้เป็นห้วงทะเลใหญ่วนเวียนและแรง  นี่คือ  โอฆะสงสาร  ส่วนที่ล้ำลึกและแรงเร็วที่สุด  ส่วนมากวีรบุรุษแห่งศาสนธรรมทั้งหลายจึงมักจะมาหลงวนอยู่ในณานผสม  ที่แยกไม่ออกนี้  คือวังวนที่กว้างใหญ่  ไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้เส้นไหน  ไปเจอผีก็นับถือผีว่าสำคัญ  ก็เที่ยวตามผีไป  เจอก็เอามาเล่ามาบอก  ว่าผีผู้นั้นผู้นี้  ผีพูดกับตนว่าอย่างนั้นอย่างนี้  ญาติโยมก็ตื่น  ว่าเก่ง  ก็เยินยอว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ก็หลงใช้ชีวิตไปอย่างนี้  ๆหารู้ไม่ว่า  ไร้สาระ  เสียเวลาเปล่า  ฯลฯ  ไปเจอเทวดา   ก็นับถือเทวดาว่าสำคัญ  เทียวไปหาอยู่บ่อย  ๆ หลงไปลึกเข้า    ก็ไปถึงเทพเจ้าสูงสุด  ว่าเป็นผู้สร้าง  ผู้ทำลาย  ก็นำมาประกาศกลายเป็นเทวศาสนาไป  ซึ่งความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ตัวตนอะไรทั้งนั้น  เป็นแต่เพียงภาพหลอนอันเกิดจากจินตนาการตนเอง  เกิดจากกำลังแห่งความคิดและจินตนาการ  ที่ส่งเสริมด้วยพลังแห่งสมาธิอีกทีหนึ่ง 

 

 

กิเลสนำไปให้หลงบูชามโนภาพ

 

ฉะนั้น  เมื่อภาคความคิดทำงานอันละเอียดไปโดยมีกิเลสนำอยู่  เมื่อคิดเรื่อยเปื่อยไป  คิดว่าเป็นอะไร  สิ่งนั้นก็เกิดขั้น  เป็นมโนภาพ  ก็หลงบูชาไป  หารู้จักมรรคผลชั้นสูงหรือสมาธิอันเป็นธรรมชาติไม่  ฯลฯ  ฉะนั้น  ถ้ามาฝึกสมาธิแล้วได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้  อย่าเพิ่งพูดอวดใคร  เพราะสิ่งที่ได้นั้น  ยังไม่ใช่สัจธรรม  ขืนพูดไปอาจจะมีผลร้ายต่อพระปรมัตถธรรมแห่งพระศาสนา  ด้วยความที่ยังไม่รู้จริงของเราเอง   แต่ทางสมาธินี้ค่อนข้างยากต้องอาศัยเวลาฝึก  ความเพียร   ความเสียสละและทั้งต้องมีศีลมาก  ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนยุคใหม่  กระนั้นทางมรรถผลนั้นก็ใช่ว่าจะต้องไปฝึกสมาธิให้เข้าได้ผลอย่างนั้นทางเดียวยังมีวิถีทางอื่นอีกมากมายหลายหลากวิธี  อันล้วนเป็นวิถีทางแห่งวิทยาศาสตร์การศาสนา  เพราะมีแนวเสนอวิธีพิสูจน์สัจธรรมจึงเรียกว่าวิทยาศาสตร์   กระนั้นเมื่อเป็นนักบวช นักบวชจะต้องรู้ว่าเรื่องสมาธินี้เป็นเรื่องสำคัญของนักบวช   สำคัญที่จะต้องมีให้พอ  ทำได้ให้พอ  ถ้าไม่มีหรือทำได้ไม่พอ  ก็มองไม่เห็นว่าจะอยู่ในวิถีชีวิตนักบวชที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร  เพราะเส้นทางของนักบวชจริงๆ  นั้นคือเส้นทางแห่งความตาย  เส้นทางแห่งสงครามและการรบ  ถ้าศีลไม่พอ สมาธิไม่พอ  ก็หมายถึงความตายเท่านั้นเอง  การบวชในทางพระพุทธศาสนาที่ไร้ความหมายไปทั้งหมดนั้นจึงมีสาเหตุมาจากขาดการฝึกสมาธิกันจนได้สมาธิขั้นพื้นฐานและขั้นก้าวหน้าไปจนรู้สึกด้วยตนเองว่า “เพียงพอ” แล้วนั้นก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ประกวดวงโยธวาทิตชิงถ้วยพระราชทาน

ช่อง  5 

เย็นวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2539 

 

ใช้เวลาถ่ายทอดร่วม  3  ชั่วโมง  เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลา  18.30น.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว หลวงพ่อเกษม เขมโก มรณภาพ

ทีวีทุกช่อง 

วันที่  16  มกราคม  2539 19.00 น. 

 

รายงานข่าวหลวงพ่อเกษม  เขมโก  มรณภาพวันที่  15  ม.ค.  39  เวลา  19.45  น.  นักข่าวให้สมญานามท่านว่า  “พระอริยสงฆ์แห่งล้านนา”  นักหนังสือพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์มักเป็นผู้ฉลาดในโวหารถ้อยคำและสติปัญญาทู้เท่าทันคน  ยิ่งกว่าคนในวงการอื่นใดทั้งสิ้นในทางการศาสนา  ศีลธรรม  จริยธรรม  คนกลุ่มนี้ก็แสดงออกอยู่โดยตลอดมาว่า  คมคาย  เมื่อพูดถึงธรรมะก็ดูเฉียบคมเป็นยิ่งนักจนบางครั้งดูเหมือนว่าคนบางคนในวงการนี้เป็นผู้ที่แสดงว่าเป็นผู้รู้สัจธรรมแห่งชีวิต  ถึงขั้นบรรลุธรรมอันลึกซึ้งไปด้วยซ้ำ  ในสายตาของผู้อ่านหนังสือ     ฉะนั้น  เมื่อคนกลุ่มนี้ตั้งชื่ออะไรขึ้น  ก็ดูเหมือนจะได้รับยอมรับไปง่าย ๆ เช่นเดียวกันกับการตั้งชื่อให้พระสงฆ์องค์เจ้าว่าเป็นถึง  “อริยบุคคล”  เช่นตั้งให้หลวงพ่อเกษม  เชมโก  เป็น  “พระอริยสงฆ์แห่งล้านนา”  เป็นต้น  แต่เห็นมีความลังเลอยู่ในที่  เพราะไม่ระบุว่าเป็น  อริยสงฆ์ระดับไหน หรือชื่ออะไรโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี หรือว่าสูงสุดคือ อรหันต์ ซึ่งก็ดีแล้วอย่าไปถึงขั้นรายละเอียดนั้นเลย จะพลาดเอาง่าย ๆ เพราะความฉลาดกับความมีปัญญาเป็นคนละอย่างกัน การดูพระไม่อาจจะดูได้ด้วยอาศัยเพียงความฉลาด แต่ต้องอาศัยปัญญาในระดับสูง

 

พระยอดชั่ว ข่มขืนหญิงท่องเที่ยวต่างชาติ

 

ข่าวพระชื่อ ยอดชัด ฆ่าชิงทรัพย์  หญิงชาวอังกฤษ  ที่บริเวณวัดถ้ำเขาปูน ต.หนองหญ้า  อ.เมือง  จ.กาญจนบุรี  ก่อนเคยข่มขืนหญิงท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียไปคนหนึ่ง  (หนังสือพิมพ์บางฉบับก็ตั้งชื่อให้พระยอดชัดนี้เสียเลยว่า  พระ  “ยอดชั่ว”)

 

 

ธุรกิจบาร์ไนต์คลับเดินขบวน

 

ข่าวธุรกิจบาร์ไนต์คลับ  ผับ  เดินขบวนหน้าทำเนียบ  วันที่  16  ม.ค.  39  เรียกร้องให้รัฐบาลปิดเวลาตีสาม  ไม่ใช่ตีหนึ่งตามที่รัฐบาลกำหนดใหม่    สังคมไทยกำลังจะลืมว่า  โดยวัฒนธรรมไทยแล้วอะไรคือ  “สัมมาอาชีวะ”  อะไรที่ไม่ใช่  ถ้ารู้เข้าใจเรื่องนี้ดี    และยังเคารพในวัฒนธรรมเรื่องสัมมาอาชีวะ  กันอยู่เป็นความเข้าใจรวมของสังคมแล้ว  การบริหารงานที่เกี่ยวข้องกับการอาชีพ  ก็จะง่ายขึ้น  เพราะยึดถือหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามหลักไทยคือหลักของวัฒนธรรมไทยเราเอง  แต่ที่เป็นปัญหา  ก็เพราะตื่นไปตามวิถีทางอเมริกัน  ชนประเทศที่ไม่เคยรู้จักคำว่า    “สัมมาอาชีวะ” (แม้อาชีพเป็นโสเภณี  ชนอเมริกันก็คงถือว่าเป็น สัมมาอาชีวะ  ได้)  จึงเกิดการสับสนวุ่นวายขึ้น  และนับว่าจะวุ่นวายไปอีกเพราะรัฐบาลไทย  ไม่รู้ภาระหน้าที่และขาดความรู้ความสนใจในปัญหาวัฒนธรรมของชาติอย่างเป็นวิชาการ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 สีสันบันเทิง ดาราทีโบนถูกไฟครอกเสียชีวิต

ทีวีทุกช่อง

16  ม.ค.  39 

 

ดารานำวงทีโบน   รถอุบัติเหตุถูกไฟครอบตาย 

เป็นเรื่องฝ็็ถนรยนพธรรมดา ขนาดหลวงพ่อคูณเกจิอาจารย์ยังเกิดอุบัติเหตุได้  เป็นธรรมดาน่ะ  ขับประมาทก็ตายได้  มีพระอะไรคล้องคอ  ไม่เห็นรายงาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าวต่างประเทศ อเมริกาไม่พอใจพม่าเรื่องยาเสพติด

ทีวีทั่วไป

วันพุธที่  17  ม.ค.  39  หนึ่งทุ่ม 

 

อเมริกาไม่พอใจพม่าไม่ยอมส่งขุนส่าให้ไปดำเนินคดี 

เรื่องยาเสพติด  ประกาศว่าขอให้ประเทศใกล้เคียงรวมทั้งประเทศไทยด้วยทราบว่า  การปราบยาเสพติดเป็นนโยบายที่อเมริกาจะต้องเอาจริงทำจริงให้ได้  อเมริกามีนโยบายเอาจริงเพราะจำต้องเอาจริงมานานแล้ว  ในเรื่องยาเสพติด  แต่ไม่เคยลดน้อยถอยลง  อันแสดงว่าในประเทศอเมริกา  ได้มีปัญหายาเสพติดในขั้นร้ายแรงไม่น้อย  และยังทวีปัญหาไปเรื่อย  อะไรคือสามเหตุของปัญหาอันร้ายแรงนี้  ?  หรือนี่คือสิ่งบอกเหตุที่นับวันชี้มาตรงกับปัญหาจักรกลทางการเมือง  คือ  ประชาธิปไตย  ที่ไม่เคยมีการพิสูจน์ก่อนนำมาใช้  (ขณะนี้ทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตย  หาได้มีประเทศหนึ่งประเทศใดมีความสุขสงบไม่  หากมีแต่ความวุ่นวายอยู่ทั่วไป  นี่เป็นข้อสังเกตเพื่อการปรับระบบเสียให้ตรง)

 

 

 

ข่าวเปิดแสดงเศรษฐกิจไทย

จากนครลอสแอนเจลิส  อเมริกา  ได้สมญาว่า  Thailand Kingdom of Growth  เจริญก้าวหน้าอันดับหนึ่งของโลก  8%  (แต่ผลจริง ๆ ในประเทศที่ปรากฏในประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  แทบไม่มีอะไรเป็นที่น่ายินดีเลย แท้ที่จริง  เข้าล๊อคแผนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ๆ มหาอำนาจ  ที่พยายามเปิดทางเข้าไปลงทุน  เพื่อกอบโกยเอาจากประเทศที่ล้าหลังทางเศรษฐศาสตร์และเทคโนโลยี  หากแต่เพียงด้วยทรัพยากรธรรมชาติ  พวกนี้ก็อ้างสถิติ  ที่เอาเงินตราวัดเป็นอัตราความเจริญออกมาอ้างว่าเป็นสถิติที่น่าภาคภูมิใจของโลก  ก็หลงเพลินไป  คงจะไปหายโง่เอาเมื่อทรัพยากรธรรมชาติเกลี้ยงแผ่นดินนู่นและ ! เชื่อหรือไม่คงได้เห็นกันไวไวนี้)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทแทรกบทที่ 6   ธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ

 

ดูเหมือนว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง มีบทสรุปลงที่เดียวกัน  นิยามเดียวกัน  คือ   “ธรรมดา”

 

ธรรมดา  แปลว่า  เป็นเช่นนั้นเอง

 

แต่ธรรมดาที่ว่า “โลกย่อมก้าวไปสู่ความหายนะทุกขณะ ๆ นั้น  ก็เพราะโลกมีความเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง” (คือโลกจะไม่ยอมก้าวไปสู่ความรอด หรือความปลอดภัย  แต่จะไปทางฉิบหายเท่านั้น)  นั้น   ก็เป็นธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ   ซึ่งก็เป็นธรรมดาดั่งนั้น

 

หรือ   “คนทั้งหลายย่อมใฝ่ทางต่ำ  ไม่มีความใฝ่ทางสูง  มีความเป็นธรรมดาในการสร้างความหายนะฉิบหายให้แก่ตนเอง   เพราะมันเป็นธรรมดาดั่งนั้น”    นั้น   ก็เป็นธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ   ซึ่งก็เป็นธรรมดาดั่งนั้น

 

และ    “โลกาภิวัตน์  หมายถึงโลกก้าวไปสู่ความเป็นธรรมดา  ในการบั่นรอนทำลายตนเอง  ทำลายโลกเองให้พินาศฉิบหายเร็วขึ้น   อันนี้ก็เป็นธรรมดาที่โลกจะเป็นไป  หาใช่เรื่องผิดธรรมดาไม่”

 

ก็เป็นธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ    ซึ่งก็เป็นธรรมดาดั่งนั้น

นี่แหละ !      เรื่องยาก ๆ ที่คนจะเชื่อว่ามันเป็นธรรมดาดั่งนั้น    อันเป็นธรรมดา

 

แม้ธรรมดาของเรื่องง่าย ๆ   เช่น   “ธรรมดาพวกเขาย่อมมักของที่ได้มาโดยง่าย  อะไรที่ให้ออกแรง พยายาม  นั่นขัดความเป็นธรรมดาของพวกเขา”   นั้น  ก็เป็นธรรมดาที่ยากที่คนจะเชื่อ  ซึ่งก็เป็น
ธรรมดาดั่งนั้น

 

(เพราะเหตุนี้  คนทั้งหลายจึงล้วนไปด้วยทุกข์)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขอคิดด้วยคน พูดถึงโหงเฮ้ง

ช่อง 9

วันพุธที่ 17  ม.ค. 39  สามทุ่ม

 

พูดกันในเรื่อง โหงเฮ้ง มีชินแสแต่งหน้าแต่งตา (ให้แต่งตึงเหมือนเฒ่าทารกในหนังจีน ? กำลังภายในในมาด หมอเทวดา อย่างงั้น !?)  ความจริง ตำราและหมอดูแขนงนี้ก็มีในตำราโหราศาสตร์ ไทยมาแต่เดิม เรียกว่า ตำรานรลักษณ์ แต่ฟังไม่ขลัง แต่เมื่อพูดถึงโหงเฮ้ง ขึ้นมาขลังนั่นก็เพราะมีอิทธิพลส่งจากหนังจีนกำลังภายในดังจะเห็นได้ว่าหมอดูเทวดาอย่างนี้ปรากฏในหนังกำลังภายในแทบทุกเรื่องในหนังนั้นหมอดูศักดิ์สิทธิ์ไปเสียหมด โดยแต่งบทกำหนดให้โดยไร้เหตุผล  จริงหรือไม่จริงคนได้ยินได้ฟัง ได้รับการชักจูงอยู่บ่อย ๆ  ก็หลงเคลิ้มนิยมเลื่อมใสตามไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่  แต่นรลักษณศาสตร์ไทยนี้เป็นศาสตร์หรือวิชาที่ได้มีการควบคุมโดยจรรยาบรรณโหรอย่างเคร่งครัดมานานเพราะผลการพยากรณ์นั้นจะมีอิทธิพลสูงในทางจิตวิทยา เช่นบทว่า  “ผมหยิก หน้ากร้อ คอสั้น” หรือ “ไทยเล็ก เจ๊กดำ” (ห้ามคบ)  เป็นต้น    แต่เมื่อโหงเฮ้ง ทำเด่นขึ้นมา โดยปราศจากจรรยาบรรณ ผลก็คือได้เป็นส่วนแห่งการสร้างความสับสนวุ่นวาย มงคลตื่นข่าวประการต่าง ๆ ขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะทุกวันนี้มีมิจฉาชีพแฝงเข้าไปในวงการอาชีพต่าง ๆ  ไปทุกวงการ   ในวงการพยากรณ์หากไร้คุณธรรมและทั้งไร้จรรยาแล้วคำพยากรณ์ของหมอดูสามารถฆ่าคนผู้สุจริตได้ สามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนให้บ้านเมืองอย่างไม่มีขีดจำกัด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ตามล่าหาความจริง   กรณีป่าท่าชนะ

ช่อง 5

วันพุธที่ 17 ม.ค. 39 สี่ทุ่ม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าวภาคเช้า  อ่องซาน ซูจี วิจารณ์รัฐบาลพม่า

ช่อง 9

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2539  เวลา 7.00 น.

 

นางอองซาน   ซูจี วิจารณ์สถานการณ์ภายในประเทศตัวเองว่า อะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้นประชาชนก็ยังอดอยากอยู่ทั่วไป ภายใต้ระบอบทหาร   ข่าวบอกว่าประชาชนนับวันสนับสนุนแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเธอ ในภาพข่าวเห็นกลุ่มชนเนืองแน่นฟังการปราศรัยของเธอเรื่องประชาธิปไตย ด้วยมาด ลีลาของผู้เปี่ยมด้วยความหวัง ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ประเล้าประโลมใจให้เฟื่องฝันไปสุด  ๆ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง   แต่ พม่า เพื่อนบ้านไทยนี้ จะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นสิ่งที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง แต่เราไม่ปรารถนาเห็นอย่างหนึ่งคือ การที่ประเทศพม่าถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย แต่เป็นอมิตรกันอย่างยิ่งใหญ่ภายในผืนแผ่นดินเดียวกัน ผืนแผ่นดินที่ร่วมประวัติศาสตร์อันยาวนานมาด้วยกัน  ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านทางด้านตะวันออกคือกัมพูชาขณะนี้เคยเป็นมา  และหรือเหมือนประเทศหายประเทศทั่วโลกขณะนี้ และเมื่อเข้าสูตรการแบ่งแยกและปกครองแล้วก็จะมีคำถามว่า ใครเป็นผู้ปกครองแท้จริงใครที่ใช้สูตรการเหมืองและขลังและศักดิ์สิทธิ์ คือสูตร Divide and Rule มาโดยตลอดหรือจะต้องคอยดูเหตุการณ์จริง ๆ ที่กำลังจะเกิดชึ้นเสียก่อนด้วยความเป็นปุถุชนเป็นเหตุ (อยากเป็นใหญ่ทำอะไร ทั้งสิ้นเพื่อให้ตนได้ใหญ่ นี่คือความหมายของปุถุชน มีอยู่ในปุถุชนทุก ๆ  คน) และเมื่อนั้นจะมีคำถามว่า ใครรับผิดชอบ ?

 

และสำหรับประชาชนพม่าเอง ก็น่าจะถึงเวลาที่จะได้มองเหตการณ์ให้กว้างขวางเข้าไว้ และไม่พึงนึกถึงเอาอย่างประเทศที่พัฒนาแล้วเพราะผลร้ายของการพัฒนานั้น ซ่อนอยู่ลึกซึ้งเกินไปจนยากที่จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย สำหรับประเทศที่กำลังตื่นตะลึงอยู่กับความเจริญด้านวัตถุและเทคโนโลยีในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงใหลไปกับคำว่า “เสรีภาพ” “ประชาธิปไตย” กับคำว่า “ประชาชน” โดยลืมไปอย่างสนิทว่ายังมีอีกสองคำที่จะต้องฟังเอาไว้เสมอ คือคำว่า “ประวัติศาสตร์ของชาติเรา” กับ “ประวัติศาสตร์สของชาติเขา” มันไม่เหมือนกัน กับอีกคำที่มักจะมองข้างเดียวอยู่เสมอ นั่นก็คือ “อะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ประชาชนยังอดอยากอยู่ทั่วไป” โดยไม่คำนึงถึงสัจธรรมที่ว่าสิ่งนี้นับวันจะทวีขึ้นไปในโลก ไม่ว่าจะเป็นการปกครองในรูปแบบใด

 

และถ้าเพียงเรารำลึกถึง “ความเป็นมนุษย์” ก็จะสามารถทำตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมอันยิ่งใหญ่ พม่าทั้งสองฝ่าย หรือหลาย ๆ ฝ่ายยุคนี้ ขอให้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ เข้าไว้ ก็จะช่วยดำรงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของแผ่นดิน  แห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์

ช่อง 9

วันศุกร์ที่  19 ม.ค. 39 เวลา 07.00 น. เศษ

 

จะแข่งขันกันวันพรุ่งนี้เป็นครั้งที่ 52 มีคนโทรเข้าไปให้ความคิดเห็นหลายคน ตอบคำถามต่าง ๆ และให้ข้อคิดเห็นต่อบอล จุฬา-ธรรมศาสตร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 กฎแห่งกรรม  บทวิเคราะห์ : คำถามว่าบาปไหม? การเกิดเป็นทุกข์อย่างไร?

เอาปูมาทำอาหารบาปไหม? 

ช่อง 9

เช้าวันเสาร์ที่ 20  ม.ค. 39

 

 

 

ยังคงมีคำถาม ๆ มาไม่หยุดว่าเป็นบาปไหม เป็นบาปไหม วันนี้ก็ถามมาว่า เอาปูมาทำ อาหารขายแล้วไม่สบายใจเป็นบาปใหม   ท่านก็ตอบไปว่ากลัวบาปก็เลิกเสีย ก็ต้องทำมาหากินอย่างอื่น 

 

แล้วใครเคยคิดดูหรือเปล่าว่า ทำการอาชีพอะไรในโลกนี้จึงจะพ้นจากบาปไปได้? เลิกขายอาหารไปทำอย่างอื่น  อย่างอื่น ก็เป็นบาปต่อไปอีกแม้กระทั่งหามา ค้าขาย ก็บาป เพราะทำให้คนซื้อเขาเดือดร้อน

 

 

กี่ร้อยคำถามก็มีเพียง1คำตอบ

 

ถ้าถามมา 100 คำถามว่า เป็นบาปไหม คำตอบก็คือเป็น เป็นบาป   ถามมาอีก 1,000 คำถาม คำตอบก็คงต้องเป็นบาป ถามหมื่นคำถามหรือแสนคำถาม หรือล้านคำถาม ว่าบาปไหมคำตอบทั้งหมดก็คงต้องเป็นบาปอยู่นั่นเอง เพราะสุดยอดแห่งปรมัตถสัจจะคือโลกนี้ทั้งสิ้นทั้งมวลเป็นบาป   ระบบทั้งหมดของโลกเป็นระบบแห่งความบาป เป็นระบบแห่งเวร   นิยามของศาสนาทั้งหลายอาจจะตรงกันในที่นี้ คือในแง่ที่ว่า โลกบาป คนบาป   เห็นชัดเจนในคำสอนของศาสนาคริสต์เมื่อกล่าวถึง พระเจ้ากับคนบาป

 

แล้วสะท้อนผลนั้นไปตกที่อื่น แล้วที่อื่นก็สะท้อนต่อไปเรื่อย ๆ  แล้ววกกลับมาสู่ตัวเอง เป็นวงจรจนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ว่าอะไรเกินก่อนอะไรเกิดหลัง   นี่คือ เวร โลก เป็นระบบแห่งบาปเวรเช่นนี้ จึงไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้แม้กระทั่ง พระอริยะบุคคลหรือพระอรหันต์ก็ตาม ตราบใดที่อยู่ในระบบโลก ท่านก็ยังหาอาจหลีกเลี่ยงกรรมอันเป็นบาปได้อย่างบริสุทธิ์ไม่ (บริสุทธิ์จริง เป็นเรื่องภายใน)  การทำความเข้าใจเรื่องบาปเวร จนเห็นแจ้งว่าโลกทั้งสิ้น เป็นบาป เป็นเวร นี้เป็นความเข้าใจระดับสูง คือระดับที่เป็นผลของญาณชนิดหนึ่ง ดูในโสฬสญาณ (ญาณ 16) ในพระพุทธศาสนาจะตรงกับนิพพิทาญาณ ในหนังสือการศึกษาบางเล่ม เช่นของ พิฑูรย์   มลิวัลย์จัดเป็นญาณอันดับที่ 8 ถ้าไม่จัดแบบโสฬสญาณแล้วจะรวม ภยญาณ (อันดับที่ 6 ) กับนิพพิทาญาณ (อันดับที่ 8) นี้เข้าด้วยกัน เป็นชนิดเดียวกันก็ได้ เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน

 

 

 

โลกล้วนเป็นบาป

 

ที่กล่าวมาดั่งนี้ก็เพื่อให้เข้าใจว่าการจะทำความเห็นชัดเจนในคำกล่าวที่ว่า โลกล้วนเป็นบาป นั้น ไม่ใช่คนที่จะเข้าใจตามไปได้ด้วยง่าย เพราะเป็นวิถีธรรมขั้นสูง ต้องมีปัญญาระดับสูงพอสมควรจึงจะเข้าใจได้

 

ฉะนั้น เมื่อพูดออกมาแล้วคนที่เข้าใจได้ทันก็มี คนที่ไม่เข้าใจก็มี คนที่เข้าใจง่ายก็มี คนที่เข้าใจง่ายก็มี คนที่เข้าใจยากก็มี ไปจนถึงผู้ที่ไม่เข้าใจหรือไม่อาจจะเข้าใจได้เลยก็มี และเพราะเหตุนั้น อาจปฏิเสธไม่เชื่อถือคำพูดคำสอนเรื่องนี้ไปทันทีก็มี หรือ  เกิดข้อคิดแย้งไปด้วยเหตุผลเฉพาะตน ไม่เห็นด้วยก็มี  แต่นี่เป็นข้อสรุป โดยนัยแห่งสาระแห่งสัจธรรมเรื่องบาป ในพระพุทธศาสนา คือสรุปว่า โลกล้วนทำบาปอยู่เป็นปกติ เมื่อรายการกฎแห่งกรรมมาพูดขึ้นเรื่องบาปบุญ คุณโทษ คนก็กลัวบาปขึ้นมาสงสัยเรื่องบาปขึ้นมา จะทำให้เกิดสับสนขึ้นมาได้ง่าย ๆ และทั้งจะพลอย เสียหายแก่การงานอาชีพหรือการเศรษฐกิจของตนหรือของชาติไปโดยเขลา เพราะมิได้ตระหนักสถานะที่แท้จริง ความเป็นจริงของตนเองที่ว่าพวกเราล้วนเป็นคนบาปอยู่โดยปกติ

 

อย่างเช่นทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ดี ๆ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็พากันเลิกเสีย เพราะเกิดกลัวบาปขึ้นมา ผลร้ายก็ย่อมเกิดขึ้น (1)  ธุรกิจอาหารไม่มีคนไทยทำเพราะกลัวบาป คนนอกศาสนาคือคนที่ไม่นับถือศาสนาก็เข้ามาทำแทน เขาก็ครองประเทศ ครองสังคม ส่วนคนที่กลัวบาปเลิกทำแล้วจะไปทำอะไร จึงจะไม่เป็นบาปในโลกนี้ ในเมื่อสัจธรรมบอกแล้วว่าทำอะไร  ๆ ๆ ๆ ก็เป็นบาปไปได้ทั้งสิ้นอยู่แล้ว

 

ก็ดู

เมื่อไม่ทำอะไร เพราะเกรงกลัวบาป ก็ไม่มีรายได้ ไม่มีข้าวกิน ก็ต้องอด ดูสิ  นี่ก็ทำบาปแก่ตัวเองเข้าแล้วในเมื่อบาปคือทำความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น แล้วเมื่ออดเข้ามาก ๆ  ทิ้งลูกเต้าครอบครัวปู่ย่าตายายก็ต้องเดือดร้อนกันไปหมด เพราะไม่มีรายได้ ไม่มีเงินซื้อข้าวสารหรืออาหารรับประทาน ก็ต้องกลับออกมาทำงานที่เป็นบาปกันใหม่ หรือหนักเข้าหางานการทำไม่ได้ ก็ถึงต้องไปขโมยเขากิน หรือทุจริตมากมายหลายกรณีเช่นฉ้อโกงผู้หญิงก็ไปขายตัวฯลฯ



เห็นไหม
ในที่สุด โลกก็จะสอนเราเองว่า อะไรคือเบื้องต้นแห่งความเป็นไปได้ทั้งมวลในปัญหาเรื่องบุญและบาปนี้ ซึ่งก็จะเห็นว่า แท้จริงแล้วก็คือความที่เราเกิดมา คือความเกิด หรือการที่เกิดมา นั่นเองเป็นตัวบังคับเด็ดขาดที่ให้เราจำต้องทำบาป 


 

 

การเกิดเป็นทุกข์


สัจธรรมตรงนี้ก็คือมีการเกิดการเกิดทำให้เราจำเป็นต้องทำบาป เพราะเมื่อเกิดก็หิว ก็ต้องหากินก็ต้องกิน  การกินก็เป็นบาปเข้าแล้ว แต่เราจำเป็นต้องกิน เพราะถ้าไม่กินเราก็ต้องตาย เพราะการกินทำให้เราเป็นอยู่  เราต่างรักการที่จะมีชีวิตอยู่และกลัวตายกันทุกคน ถ้าเราไม่กินเราก็ต้องตาย เรากลัวตายเราจึงต้องกิน และในการทำมาหากินนั้นแหละ ไม่ว่าเราจะทำมาหากินอาชีพใด ๆ ในโลกนี้ก็ล้วนเป็นวิถีทางแห่งบาปเท่าเทียมกันไปทั้งสิ้นฉะนั้นจึงสรุปลงว่าเมื่อต้องกินก็ต้องทำบาปอยู่เอง


เพราะฉะนั้นเมี่อเกิดมาต้องกินแล้วอย่าไปนึกว่ามีการงานอะไรจะพ้นบาปไปได้ นี่แหละ เพราะย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจตามขั้นตอนของการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เป็นขั้น ๆ ไป จนกว่าจะมารู้แจ้งถึงญาณที่ 6-8 แห่งโสฬสญาณ ดังกล่าว


ชาวอิสลาม


เอาละ ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร
?
ได้พบว่าศาสนาต่าง ๆ ในโลก ได้มองเห็นปัญหานี้มาแต่เดิม จึงได้มีมาตรการเรียกว่า ทางออกแห่งปัญหาไว้ต่าง ๆ   กำหนดระเบียบเกี่ยวกับการกินไว้ต่าง ๆ ที่เป็นวิธีการแก้ปัญหานี้ เช่น ศาสนาอิสลาม เขากำหนดว่าการฆ่าสัตว์เป็นอาหารนั้น ทำได้และจะไม่เป็นบาป หากได้กระทำพิธีให้ถูกตามที่ศาสนาของเขาบัญญัติไว้


ฉะนั้น ชาวมุสลิมจึงไม่คิดมากเพราะบาปของเขามีนิยามอยู่ที่ว่า พระเจ้าอนุญาตให้ทำได้ และเมื่อขออนุญาต หรือทำตามแบบพิธีกรรมของศาสนาแล้วก็ถือว่าไม่เป็นบาป (แม้ที่จริงก็บาปอยู่นั่นแหละ ) 


ชาวคริสต์


ส่วนศาสนาคริสต์กล่าวว่าพระเจ้านั้นสร้างมนุษย์ให้มีอำนาจเหนือหมู่สัตว์ มีอำนาจใช้สัตว์หรือนำสัตว์มาเป็นอาหารได้อยู่แล้ว ดังพระคัมภีร์จารึกคำพระเจ้าทรงอวยพระพรว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูกนกในอาการศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลี่อนไหวบนแผ่นดิน”   พวกเขาชาวคริสต์ก็ไม่คิดมากเรื่องบุญเรื่องบาป


ชาวพุทธผู้สับสน


แต่ชาวพุทธผู้ดูสับสนอยู่จะถือหลักปฏิบัติอย่างใด ในเมื่อเราถือหลักแห่งกรรมอันเป็นอิสระแห่งปัจเจกบุคคล ก็ต้องถือหลักการชั่ง ตวง วัด เป็นหลัก ต้องคอยประเมินผลตนเองอยู่เสมอว่าทำบาป กับทำบุญ อันไหนมากอันไหนน้อยกว่ากัน ต้องมีสติปัญญาพินิจพิจารณ์เพื่อรู้การกระทำของเราว่า ขณะใด  ทำอะไรเป็นบาป อะไรเป็นบุญบ้าง  เราทำบาปได้แต่ต้องรู้ตัวว่าเราได้ทำ รู้เพื่อที่จะแก้ หรือหาทางเอาชนะแต่ผู้ที่ได้เปรียบคือผู้ที่ทำแต่บุญเป็นส่วนมาก ผู้ที่เสียเปรียบคือผู้ที่ทำบาปเป็นส่วนมาก ถ้าไม่สบายใจเพราะทำบาปไป ก็หมั่นทำบุญแก้กัน ทำบาปได้ ความร้อน ทำบุญได้ความเย็นถ้ามันร้อนทำอย่างไร ก็ไปทำบุญเสียจะได้หายจากความร้อน ทำบาป ได้ความวุ่นวาย ก็ทำบุญเสีย จะให้ความสบายใจ หักกลบลบกันไปเช่นนี้ ก็เป็นหลักง่าย ๆ  อย่างนี้แหละ   ทำเถิด   ทำไปจนติดกระแสบุญ ๆ ก็จะพาเข้าสู่ โสฬสญาณไปเอง เมื่อนั้น ๆ อะไร ๆ ก็จะเห็นเอง พาปฏิบัติไปได้เอง ไกลบาปไปเอง  ไม่งั้นเขาก็ไม่เรียกว่าญาณ




สัปปุริสธรรม 7


แต่ก่อนที่จะถึงชีวิตที่ประกอบด้วยพิจารญาณชั้นสูง อย่างนั้นก็ควรจะได้รู้หลักพิจารณญาณทั่วไป เพื่อการดำรงชีวิตในโลกนี้ไว้บ้างตามที่ศาสนาพุทธสอนไว้ดีอยู่แล้วและรัดกุม ใครไม่รู้ก็ไม่เสียโอกาส นั่นคือ หลัก รู้ 7 อย่าง

 

1.  รู้เหตุ                        

2.  รู้ผล                         

3.  รู้ตน

4.  รู้บุคคล                     

5.  รู้กาล                                   

6.  รู้ประมาณ

7.  รู้ที่ประชุมชน

 

ซึ่งทั่งหมดนี้เรียกว่าสัปปุริสธรรม 7 ใครรู้ธรรม 7 นี้ เท่ากับรู้หลักการดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งความบาปนี้ได้อย่างมีความเจริญก้าวหน้า มีความสุขสบาย พอแก่ตน

 

 

 

เพราะการเกิดจึงจำต้องทำบาป

 

นี่คือหลักพิจารณญาณทั่วไปสำหรับมนุษย์ เรื่องเป็นบาปไหม ๆ จึงควรจะมาตั้งหลักการกันที่ว่า มีอะไรเล่าที่ไม่เป็นบาปในโลกนี้ เท่าที่เห็นดูคล้าย ๆ ว่าเพิ่งจะงัวเงียรู้สึกกันว่าตัวได้ทำบาปเข้าแล้ว  ราวกับว่าตัวเองเป็นคนบริษุทธิ์สะอาดเสียเหลือเกิน ซึ่งแท้จริง เปล่า เพราะการเกิด เราเกิดมาพร้อมกับเครื่องมือประจำตัวประจำกายสำหรับทำบาปอยู่แล้วคนเราจึงมีบาปมาตั้งแต่กำเนิด เริ่มแต่ทำบาปกับมารดาตัวเอง ที่ทำให้ท่านเดือดร้อน นับตั้งแต่ก่อตัวตนขึ้นในครรภ์ ทำให้หนักเหน็ดเหนื่อย ที่ต้องอุ้มท้องอยู่ตลอดเวลา นี่ก็บาป เจ็บปวด เนื่องแต่การคลอดออกมาเป็นตัวตน แล้วก็ลำบากหาเลี้ยง อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี หางานการอาชีพให้ ฯลฯ ตราบกระทั่งตายลงก็ทำบาปกับคนเป็น เพราะทำให้พวกคนเป็นที่อยู่ต้องลำบากเดือดร้อนในการทำศพของเขา

 

ในเรื่องนี้จะเห็นว่าบาปเป็นของคู่กับคนมาตั้งแต่ความเกิด การเกิดของมนุษย์เป็นบาปเสียแล้วเห็นได้เช่นนี้ และเมื่อการเกิดด้วยบาปแล้วต่อมาก็อยู่ด้วยบาป เติบโตด้วยการกระทำบาป  แก่ลงด้วยบาป และตายลงในกองบาป กล่าวอย่างจริงๆ  ก็คือ วัฏจักรของสรรพสิ่งนั้นเป็นวัฏจักรแห่งความบาป และมีสัจธรรมแห่งพุทธศาสนากล่าวไว้ลึกซึ้งว่า โลกมีปกติอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน นั่นก็คือ ความดีได้พึ่งความชั่ว และความชั่วได้พึ่งความดี

 

โลกที่แท้จริงนั้น เหมือนบ้านของความชั่ว ส่วนความดี เป็นเพียงแขกที่ได้มาอาศัยเท่านั้นเอง คนชั่วคนบาปเปรียบเหมือนเจ้าของโลก ส่วนคนดีคนบุญนั้นเป็นเพียงแขกที่มาอาศัย

 

 

 

ยึดหลักหน้าที่ของตน ๆ

 

นี่แหละบาปเป็นของคู่กับคน ไม่มีใครหลีกพ้นบาปไปได้ ให้เข้าใจกันเช่นนี้ และให้ยึดหลัก หน้าที่ของตนๆ เถิด เช่นหน้าที่ของบิดามารดา มีอะไรบ้าง บุตรมีหน้าที่อะไรบ้าง พ่อค้าแม่ขายมีหน้าที่อะไร ครูอาจารย์มีหน้าที่อะไร เด็กนักเรียนมีหน้าที่อะไร ตำรวจทหารมีหน้าที่อะไร นายพรานมีหน้าที่อะไรบ้าง นายดาบเพชฌฆาตมีหน้าที่อะไรบ้าง ฯลฯ ก็ทำหน้าที่ของตัวไป เพราะโลกในรูปรวมเป็นเครือข่ายโยงใยถึงกันหมดต่างก็เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกันอยู่ในตัวเองโดยธรรมชาติ ส.ส. มีหน้าที่อะไร นักการเมืองมีหน้าที่อะไร รัฐบาลมีหน้าที่อะไร ก็ทำไปแล้วตั้งใจทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์

 

 

วิถีไทวิถีทาส หลักการพัฒนาเบื้องต้น

 

การทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ไม่ถือว่าบาป (สมมติเอาว่าไม่บาป เพราะเราไม่มีวิถีทางที่ดีกว่านี้) แต่ทำอะไรๆ ไปให้หมั่นชั่งตวงวัด ว่าได้อะไรมากได้อะไรน้อย ชีวิตที่ต้องการคืออะไร วิถีทางเป็นแบบไหน ฯลฯ ทำอะไรได้ความสบายใจกว่า มีความสุขกว่า ฯลฯ ระลึกศีลและธรรมอันเป็นหลักการพัฒนาเบื้องต้น เพื่อชีวิตจะได้รู้จักการพัฒนากับเขาบ้าง แต่พัฒนาในที่นี้หมายถึงการก้าวไปสู่ความเจริญภาคจิตใจ จิตใจสะอาดขึ้นๆ เรียกว่า พัฒนา ซึ่งโดยนัยนั้น ก็จะหมายถึงจิตใจที่สูงขึ้นมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ก็จะไปรู้จัก สัมมาอาชีวะ และสัมมาทิฏฐิ เข้าก่อน เมื่อไปรู้จักมรรคทั้ง 8 ในอริยสัจ 4 แห่งศาสนาพระพุทธเจ้า ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเดินบนเส้นทางบริสุทธิ์สะอาด คือเข้า โสฬสญาณ ไปรู้ ภยญาณ และนิพพิทาญาณได้ การที่ได้รู้ญาณระดับใดชื่อใดนั้น หมายความอยู่ในตัวเองแล้วว่า รู้ ฉะนั้นเมื่อได้รู้แล้ว ก็เป็นอันรู้วิถีทางที่จะคิดจะทำอะไรด้วยตัวเองได้ รู้อะไรเป็นบาป อะไรเป็นบุญ รู้วิถีแห่งบาปและบุญแล้วก็รู้วิถีชีวิตที่จะต้องพัฒนาได้เอง ด้วยสติปัญญาตนเอง ไม่ใช่ให้ใครบอกให้ใครสั่งหรือให้ใครดลบันดาล เพราะนั่นเป็นวิถีทางแห่งทาส แต่นี่เป็นวิถีทางแห่งไท นี่เป็นหลักศาสนาพุทธ !

 

และเมื่อชีวิตมีญาณกำกับ ญาณก็จะทำหน้าที่วินิจฉัยการงานอาชีพของเราเอง ว่าขณะนี้ เราจะต้องประกอบการงานอาชีพอะไรดี จึงจะพ้นมลทินโทษ คือบาปไปให้มากที่สุด โดยที่เหมาะกับเหตุผลตามหลักธรรม 7 คือ สัปปุริสธรรม 7 อย่างนั้นมากที่สุด ญาณวินิจฉัยอันสุขุมรอบคอบ ไม่ผลีผลามหรือโดยเขลา ก็จะสั่งการเอง และค่อยพัฒนาการไปสู่ความเจริญภาคภายในหรือจิต จิตและมันสมองความคิดก็จะประสานงานการกระทำอันสูงส่งไปเรื่อย ๆ  เช่นนี้ ตราบถึงระดับหนึ่งที่ท่านปลอดภัยพ้นจากสถานะแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว คือพ้นจากความจำเป็นต้องบริโภคกามแล้ว ญาณวินิจฉัยก็จะสั่งการให้สละโลกียวิสัยเสีย ออกสู่เพศ ที่ไม่ประกอบอาชีพหรือเพศที่ละการประกอบอาชีพ ซึ่งก็มีอยู่ในเพศเดียวคือเพศนักบวชในพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดา มิยอมให้นักบวชในศาสนานี้ประกอบอาชีพ ด้วยวิถีทางแห่งนักบวชนั้น ประสงค์ให้หลีกเว้นบาปมากที่สุด เพื่อให้การเดินทางสู่มรรคผลไปเร็ว นั่นเอง จึงไม่ให้ประกอบอาชีพ มีหน้าที่อย่างเดี่ยวคือทำตนให้พัฒนาไปจนถึงขั้นวิมุติหรือบริสุทธิ์จนสามารถเห็นแจ้งโลกและธรรมได้ เพราะในนั้นคือเคล็ดลับแห่งความสุขอันวิเศษยิ่งใหญ่ เป็นอจินไตยแห่งความดี ความงาม แห่งความพึงพอใจ และแห่งความปรารถนาและความหวังทั้งสิ้น สิ้นสุดลงเพราะได้รับการสนอง ณ ที่แห่งนี้แล้ว อันชนะใด ผู้มีสติปัญญาพึงแสวงหา ไม่พึงละเลยปล่อยชีวิตให้ล่วงไปโดยไม่สนใจใยดี 

 

 

 

มีเพียงคำตอบเดียว

 

ฉะนั้น คำถามเป็นบาปไหม ๆ  มีคำตอบคำเดียวคือ เป็นบาป ไม่พ้นจากบาปได้จึงขอให้ชาวพุทธนั้นได้เข้าใจเสียทีว่าสถานะของเรานั้น ก็คือคนบาปนั่นเอง ไม่มีใครที่เป็นคนบริสุทธิ์เลย เมื่อเราเป็นอยู่ในสถานะคนบาป ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไรง่ายๆ โดยคิดเอาง่าย ๆ  ว่าจะไปทำออย่างอื่นที่ไม่เป็นบาปนี่แหละคือความคิดชั่วแล่น คิดแบบตื่นตูม ไม่รอบคอบ ไม่รู้สมกับเป็นชาวพุทธ แต่ที่ถูก ต้องคิดว่า เราจะทำอะไรนั้น ต้องให้เหมาะสมแก่สถานะของเรา ประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่สถานะของเรา และสถานนะของเรานั้นอย่าลืมว่าคือ “คนบาป” “เราคือคนบาป” ถ้าใฝ่จะเป็นคนบุญกับเขา อย่าลืมต้องมีขั้นมีตอน อย่าผลีผลามเป็นอันขาด  มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าหนีเสือปะจระเข้ แทนที่จะหลบบาปพ้น กลับจำต้องไปทำบาปหนักเข้าไปกว่าเดิมอีกเพราะท้องหิว อันเนื่องมาจากสัจธรรมว่าด้วย “การเกิดเป็นทุกข์”

 

ถ้าเพียงแต่รู้สัจธรรมสูงสุดข้อนี้คือ “การเกิดเป็นทุกข์” นั่นหมายถึง การรู้แจ้งโลกทั้งมวล ก็จะเข้าใจความเป็นของโลกทั้งมวล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แนะแนวการศึกษาและอาชีพครู

ช่อง 11

วันเสาร์ที่ 21 ม.ค. 39 เวลา 12.15 น.

 

พูดกันเรื่องอาชีพครู ทำอย่างไรจะให้อาชีพครูนี้สมกับความเป็นครู ความสำคัญของครู มี ตัวแทนนักเรียนสิงคโปร์ อังกฤษ รองเลขาธิการคุรุสภา กับ นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย (สมหมาย ปาริจฉัตร) รวมเป็น 4

 

อยากให้ครู ปูชนียบุคคล ผู้นำทางความคิด ผู้นำทางาจิตวิญญาณ ยกฐานะให้เป็นพิเศษ มีสมาชิกคุรุสภา 9 แสน ครูเงินเดือนน้อย ครูเป็นหนี้เป็นสินเป็นคนจนรุ่นใหม่ เกณฑ์ 11 ประการสำหรับครู (วงการวันนี้ก็คือวงการครูพูดเรื่องของครู) แต่ ไม่มีใครนึกเลยว่า ผู้ที่จะตัดสินเรื่องนี้หาใช่ครูไม่ หากเป็นนักการเมืองและใครๆ ก็ลืมไปว่านักการเมืองก็คือคนในอาชีพอีกอย่างหนึ่งนั้นเอง พวกเขาก็ต้องดิ้นรนเพื่อปากและท้องของพวกเขาเช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ นักการเมืองบอกเราว่า มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงติดอันดับโลกชั้นนำ แต่ดูเหมือนเราทุกคนต่างประสบปัญหาความยากไร้ ยากจนกันไปทั้งหมดแม้กระทั้งเศรษฐีมีเงินนับพันล้าน ก็ดูเหมือนยิ่งเดือดร้อนยิ่งกว่าคนบางอาชีพ เช่นชาวไร่ชาวนาด้วยซ้ำ 

 

เดี๋ยวนี้ วงการครูเองก็นับว่ามีเงินเดือนสูงลิ่วเลยที่เดียวเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยเริ่มต้นมีอาชีพครูในประเทศไทย ที่เริ่มกันที่เงินเดือน 8 บาทหรือ 11 บาท เมื่อประมาณ พ.ศ.2463 แต่เงินเดือนครู 8 บาทเท่านั้น ครูสมัยนั้นอยู่กันอย่างสบายพร้อมด้วยเกียรติยศ อย่างที่ชาวครูหรือวงการครูสมัยนี้คิดย้อนไปใฝ่ถึง นั่นเอง ทั้งๆ ที่สมัยนี้เงินเดือนครูเริ่มสตาร์ทเหยียบเงินหมื่นเข้าไปทุกที่แล้ว ยิ่งอาชีพนักการเมืองยิ่งมีรายได้มีเงินเดือนสูง เข้าหลักแสนไปตามๆ กัน แต่นั่นแหละวงการอาชีพทุกอาชีพปัจจุบันนี้ต่างก็บ่นว่า เงินเดือนไม่พอใช้ จะต้องเพิ่มเงินเดือน เพื่อการรักษาเกียรติ์ เพื่อเศรษฐกิจที่เหมาะสม บ้าง ฯลฯ เมื่อครูบ่นและอ้างนั้นอ้างนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะอ้างว่าอาชีพครูควรมีลักษณะเป็นปูชนียบุคคล สังคมควรยกย่องและให้เงินเดือนสูง นั้นก็สมควรอยู่ แต่นักการเมืองเขานึกน้อยใจเพระเขาเองก็เป็นอาชีพหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงตนและครอบครัว เช่นเดียวกับอาชีพอื่น เหลุผลเล็กๆ น้อยๆ คือการน้อยอกน้อยใจ นี่เองทำให้นักการเมืองไม่อยากพูดถึงและจึงไม่มีการตัดสินใจในเรื่องเช่นนี้ ครูจะต้องต่อสู้ไปอีกอย่างหนักและเหน็ดเหนื่อย

 

แต่ขณะที่ต่อสู้ไปนี้ ครูน่าจะหวลกลับมาดูตนเองบ้างว่าตัวเองเป็นอย่างไร ในฐานะที่ตนต้องการนั้นคือฐานะที่เป็นปูชนียบุคคลนั้น ตัวเองเป็นอย่างไร? อะไรคือปูชนียบุคคล ? ทำไมปูชนียบุคคล ที่ได้เงินเดือนร่วมหมื่นบาทจึงไม่พอเลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัวในยุคนี้แถมยังเลยเถิดไปถึงกับว่าเป็น “คนจนรุ่นใหม่” ไปนู้น ? แท้จริงมิใช้เพราะความเป็นปูชนียบุคคลของครู ได้เอาไปมอบไว้ใต้ฝ่าเท้าแห่งมาร นามว่า “อบายมุข”  จนหมดสิ้นไปแล้วหรือ ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทแทรกที่ 7

 

โลกาภิวัตน์ มิได้มีคำว่า  “สัมมา” 

มิได้มีผู้พยายามตีความคำว่า  “สัมมา”  อันเป็นคำสำคัญที่นำไปสู่วัฒนธรรมสายใหญ่ของโลก ที่ช่วยกันรักษาโลกให้พ้นภัย

แต่เดิม ศาสนาทั้งปวงได้ช่วยกันรักษาคำ ๆ นี้เอาไว้ และได้เป็นต้นตอแห่งวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ไพศาลของมวลมนุษย์โลกทุกเชื้อชาติ ทุกแผ่นดิน  แต่บัดนี้โลกาภิวัตน์ได้ทำลายคำ ๆ นี้ไปเสียหมดสิ้น

และคำที่เข้ามาแทนที่ ก็คือคำว่า  “กาม”

ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่า  นั่นคือเส้นทางสู่ความพินาศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 สวัสดีบางกอก หมอเทวดาเป็นเหตุให้ต้องยุติรายการกลางคัน

ช่อง 9  อสมท.

วันจันทร์ที่ 22 ม.ค. 39  เวลา  07-08.00 น.

 

เอานายประเสริฐ มาออกรายการหมอสมุนไพร  รักษาได้สารพัดโรค  เท่าที่มีถามเข้ามา  ว่ารักษาโรคนี้ได้ไหม  โรคนั้นได้ไหม  คำตอบของนายประเสริฐ มีคำเดียวคือ  ได้   ทำให้รู้สึกว่า  นี่คือหมอเทวดา  ดูเหมือนจะไม่ค่อยยุติธรรม ต่อผู้เฝ้าดูรายการนัก  เพราะนายประเสริฐมีแต่เพียงคำพูด  คำพูดที่บอกผู้ชมนับแสนนับล้านทางจอโทรทัศน์ว่า  เขาคือหมอเทวดา  ยาของเขาดีวิเศษ รักษาโรคได้ทุกชนิดจริง 

 

จะเชื่อคำพูดนั้นหรือ ? เชื่อว่าเขาพูดความจริง ?  ยัง  ! เชื่อไม่ได้แน่ ๆ เพราะบางทีคนที่พูดนั้นก็อาจจะพูดด้วยความเขลา  ด้วยความหลงตัวเอง  ด้วยความโลภ ด้วยความนึกคิดทุจริตด้วยความโอ้อวด เหมือนสำเนียงนักการเมืองที่มักพูดอะไรเอาความดีของตนฝายเดียวหมด ฯลฯ ซึ่งเรายังไม่รู้ทันได้พิศูจน์ ว่าเขาพูดออกมาด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้หรือไม่  จึงกล่าวว่า ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ชมรายการอยู่   สังเกตได้ว่า มีคำหนึ่งเขาพูดว่า โรคอย่างพุ่มพวงดวงจันทร์  เขาก็รักษาได้แต่ทำไม พุ่มพวง   ดวงจันทร์จึงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้  นี่คือเหตุผลข้อแย้งที่อาจบอกว่า  คำพูดของนายประเสริฐน่าคลางแคลง  จะเชื่อถือยังไม่ได้ก่อนเขาพูดเพราะความเขลา หรือความหลงลืมตัวเองหรือเพราะโลภะประสงค์โฆษณาตัวเองให้เด่นดังไปเลย ใช่หรือไม่ ? ก็สมควรแล้วที่วงการ วิทยาศาสตร์จะเข้ามาขัด  มาจัดการ  ให้รายการนี้ ในวันนี้ จบลงอย่างนั้นก็น่าจะดีแล้ว เหมาะแล้ว  สมควรแล้ว

 

 

แต่สถานะประชาชนทุกวันนี้ ได้เป็นปัจจัยเหตุอันสำคัญ ที่สนับสนุนงานอันไม่เป็นธรรมเช่นนี้  สถานะอันนั้นก็คือ  สถานะที่ประชาชนไร้ที่พึ่ง นี่เป็นเรื่องใหญ่  อะไรคือสาเหตุของปรากฏการณ์ทางประชาชนอย่างนี้ ?

 

1.   ระบบต่างๆ ของสังคมปัจจุบันเป็นระบบที่ทอดทิ้งประชาชนส่วนใหญ่ไปหมด  ไม่มีความสนใจเอาใจใส่ในประชาชนส่วนใหญ่ เช่นความเจริญทางเศรษฐกิจ วัดออกมาแล้วมีความเจริญเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ นั้น แท้จริงคงมีเพียงกลุ่มคนอยู่เพียงกลุ่มหนึ่ง เท่านั้นเองที่ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการบริหารงานทางเศรษฐกิจของชาติ เปอร์เซ็นต์ที่บอกนั้นส่วนมากวัดด้วยเงิน  เอาเงิน จำนวนเงินมาวัด  นั่นแหละหมายความว่าสังคมเราเอาใจใส่อยู่แต่คนกลุ่มที่มีเงิน  และเร่งให้กลุ่มที่มีเงินนั้นเติบโตด้านการเงินขึ้นไปเรื่อยๆ  คือผู้ที่รวยอยู่แล้ว ได้รับการส่งเสริมเกื้อหนุนให้รวยขึ้นไปเรื่อยๆ  จึงทำให้มีกลุ่มคนรวยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมประเทศนี้  ส่วนคนส่วนใหญ่ที่ยากจน  ไม่อาจวัด ค่าราคาออกมาเป็นเงินได้นั้นไม่มีการส่งเสริม  ไร้การเกื้อหนุนให้ดีขึ้นทอดทิ้งพวกเขาไปเรื่อยไป  นับวันพวกเขายิ่งห่างไกล  ล้าหลังลงไปอย่างไม่มีใครเหลียวแล  ฉะนั้น จึงว่า  ไร้ที่พึ่ง

 

2. เรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วยไข้ มีกลุ่มแพทย์พยาบาลอยู่เพียงกลุ่มเดียวนิดๆ เท่านั้นเอง คือลุ่มที่โผล่หน้าออกมาทางโทรศัทน์ ที่พอแสดงให้เห็นว่า  มีความเป็นธรรมทางการแพทย์นอกนั้นมีที่ไหน ?  ไม่ลองถามประชาชนทั้งประเทศดูบ้างว่า  การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลต่างๆ  ของรัฐเป็นอย่างไร ? มีความเป็นธรรมแค่ไหน ?  ทำไมหมอในโรงพยาลของรัฐ แทบทุกแห่งจึงเอาเวลาของรัฐไปตั้งคลินิกของตนเอง เอายาจากโรงพยาบาลของรัฐมาจ่ายในคลินิกของตน และไม่ลองถามประชาชนทั้งประเทศดูว่าราคายา ทั้งยากินยาฉีด  เป็นอย่างไรบ้าง ทุกวันนี้คลินิก หรือสถานพยาบาลเอกชนราวกับว่าเป็นแดนอิสระ สามารถตั้งกฏเกณฑ์การค้าขายทางเภสัชนี้ได้ตามใจตนเองอย่างอิสเสรีเต็มที่ ไม่คำนึงความเป็นธรรมหรืออย่างไรในประเทศนี้ ? จะขึ้นราคาอย่างไรก็ขึ้นได้  รัฐบาลไม่ลองไปตรวจดูว่า หมอๆ ทั้งหลายเขามีชั้นเชิงทางอาชีพพิเศษสุดอย่างไรบ้าง และชั้นเชิงของหมอที่รักษาโดยอำนาจโลภะเห็นแก่เงินนั้นเป็นอย่างไร มีการเอาใจใส่ให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่ ? มีคลินิกแห่งความใจบุญเกิดขึ้นบ้างไหม ?  โรงพยาบาลดั่งโรงฆ่าสัตว์ก็ยังคงเป็นไปอยู่  สืบกิจการไปอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง  นี่คือความอยุติธรรม  ใช่หรือไม่ ?  ส.ส.   เคยรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นวิถีชีวิตประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศทุกวันนี้  เห็นกันหรือยังว่าประชาชนถูกทอดทิ้ง

 

3. เรื่องการเกษตรกรรม อันเป็นเรื่องราวของคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้น  ยิ่งเป็นกลุ่มชนที่น่าสงสาร  เพราะดูราวกับว่าแทบไม่มีใครเหลียวแลดูพวกเขาเลย  เพราะไม่มีหน่วยงานองค์กรใด  ที่เข้าใจเอาใจใส่ และทำการศึกษาอย่างเอาจริงเอาจังกับวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่นี้อย่างรอบด้าน  ลองพิจารณาจากกรณีบางอย่างเพียงสองสามกรณีก็ได้รู้ถึงความไม่เอาใจใส่ทอดทิ้งประชาชน  คือ กรณีส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเข้าตัวเอง  ความเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนนายทุนอุตสาหกรรม   กรณีส่งเสริมการกีฬา  เราก็คิดแบบเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนชอบกีฬา  คนกลุ่มอื่นเป็นอย่างไร จะได้รับผลกระทบอย่างไรไม่มีการศึกษาดู เพียงสองกรณีนี้เราขึ้นค่าแรงภาคอุตสาหกรรม ก็กระทบไปถึงค่าแรงในภาคเกษตรกรรมแต่ทราบข้อมูลหรือไม่ว่าภาคเกษตรกรรมนั้นเป็นภาคคนส่วนใหญ่ เป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติ  ทำให้เพิ่มค่าแรง  เพิ่มขั้นงานที่ต้องลงทุน  เพิ่มค่าลงทุนในภาคเกษตรกรรมไปอีก  ทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน  นั่นหมายถึงแผ่นดินไทยร้อนระอุขึ้นไปอีก  ร้อนระอุไปทั่วแผ่นดินเพราะปัญหาคนส่วนใหญ่    ในเรื่องกีฬา  เพียงลูกฟุตบอลกลมๆ ลูกเดียวเท่านั้นเอง แรงงานในภาคเกษตรกรรม คือตามท้องไร่ท้องนา  หายไปหมดจากท้องไร่ท้องนาในชั่วพริบตาเดียว  ที่มีการประกาศคุณงามความดีของการกีฬาโดยชนชั้นนักการเมืองของประเทศ  เดิมชาวนาได้แรงงานเหล่านั้นเปล่า ๆ เพราะเป็นลูกหลานในบ้าน ที่เริ่มเติบโตเป็นหนุ่ม  แต่พอมีการส่งเสริมกีฬาแห่งชาติขึ้น โรงเรียนก็ส่งเสริม อำเภอก็ส่งเสริม  จังหวัดก็ส่งเสริม  เขตก็ส่งเสริม รัฐบาลก็ถือเป็นโยบายสำคัญ  (ในการหาเสียง ? )  แรงงานเหล่านี้ก็หายไปหมด จะไล่ต้อนไล่ตีกลับมาลงผืนนาอย่างไรก็ไม่เป็นผล มันบอกพ่อแม่อยู่คำเดียวว่า  จ้างเขาซี  รู้จักการทำเกษตรกรรมแผนใหม่กับเขาบ้างไหม? มันว่าอย่างนั้น 

 

ไม่มีคนระดับการเมือง  ผู้ที่มีความรับผิดชอบระดับชาติคนใดมีความเข้าใจอย่างลึกซึ่งว่า  กลางท้องนาอันกว้างใหญ่ไพศาลของผืนนาไทยนั้นแหละ คือสนามกีฬาแห่งชาติมาตั้งแต่เดิม 

 

ราชการ  การเมืองไทย ไม่เคยมีความเข้าใจสิ่งที่เรียกกันว่าวิถีชีวิตไทยเลย  ไม่เคยมีนักการศึกษาแม้ผู้หนึ่งผู้ใด ได้เข้าใจในความสำคัญ ในเชิงวิทยาการ เพื่อการศึกษาการพัฒนาเลย ฉะนั้นเมื่อคนที่เป็นทาสวัฒนธรรมต่างชาติ คือไปศึกษาเล่าเรียนมาจากต่างชาติ  รู้ไปหมดเรื่องของชาติอื่นๆ เขา แต่เรื่องราวของชาติตนเองหารู้ไม่    แต่คนประเภทนี้แหละที่มาปกครองประเทศไทย  จึงนำสิ่งที่ได้มาจากต่างประเทศ  นั้นแหละ  มาทำขึ้นในประเทศไทย  โดยไม่มีความเฉลียวใจคิดแม้สักนิดว่า  สิ่งที่ตนคิดทำขึ้นมานั้นจะไปกระทบ  ก่อผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง     จนบัดนี้ผลการส่งเสริมวิชาการและวัฒนธรรมต่างชาติ   ได้ฆ่าวิถีชีวิตไทยในท้องไร่ท้องนาไปจนเกือบหมดสิ้นอยู่แล้ว  ดูมิต่างไปเลยจากการทำลายล้างประเทศชาติ  แต่กระนั้น  ก็หามีความรู้สึกกันไม่  นานมา  จนตราบกาลบัดนี้  ได้มีสิ่งบอกเหตุ ครั้งแล้วครั้งเล่า  ที่บอกให้รู้กันว่า  ผืนแผ่นดินไทยและประชาชนในผืนแผ่นดินนั้นได้ถูกทอดทิ้งมาแสนเนิ่นนานแล้วจริง ๆ  ชาวนาได้ค่อยละทิ้งผืนนา เพราไม่มีเงินลงทุนทำนา  ต่อไปไม่นานนาไทยก็จะวายไปจากคนไทย   ใครจะมาทำงานแทนคนไทยเล่า  ?  จะเป็นไปได้หรือ   ที่ประเทศไทยจะอยู่ไปได้โดยไม่ต้องทำไร่ทำนากันเลย   ใครอาจจะตอบว่า  ได้  ? แต่ขณะนี้  เรากลับได้ยินแต่เสียงภาครัฐบาลเละภาคเอกชนนายทุนทั่วประเทศไปกระหึ่มอยู่แต่ว่า  อุตสาหกรรมจะต้องเข้ามา  ต้องเพิ่มการลงทุนทางด้านการอุตสาหกรรมยิ่ง ๆ ขึ้น  ไม่เคยได้ยินเสียงอันหนักหน่วง  และหรือมาตรการหรือนโยบายอันยิ่งใหญ่มโหฬาร สมกับการเป็นชาติเกษตรกรรมของชาติไทย  กระหึ่มขึ้นมาบ้างเลย   ฉะนั้น  จึงมีคำถามย้ำลงไปอีกทีว่า   “จะเป็นไปได้หรือ  ที่ประเทศไทยจะอยู่ไปได้  โดยไม่ต้องทำไร่ทำนากันเลย     ใครอาจตอบว่า  ได้  ? ”  

 

แต่   นี่แหละ! คือการเริ่มต้นของการเมินเหินห่างไปจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  จึงต้องตกอยู่ในสถานะคนที่ถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิงในปัจจุบัน   ประเทศชาติเคลื่อนไหวไปโดยคนเพียงกลุ่มเดียวที่นิดน้อย  และคนกลุ่มนิดน้อยนี่เองที่ต่างก็แสดงออกซึ่งความเห็นแก่ตัว  ที่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง  มือใครยาวสาวได้สาวเอา      การเศรษฐกิจของชาติ   ที่เคลื่อนไหวไปโดยทฤษฎี ทุนนิยม         ผลเป็นอย่างไร  น่าจะเป็นที่ชัดเจนขึ้นแล้ว ที่เราจะได้สำนึกว่า    มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงสำหรับการบริหารภายใต้วิชาการจากต่างชาติยุคนี้    ทำให้   คนที่รวยอยู่แล้ว   ยิ่งรวยยิ่งขึ้น ๆ  เอาเฉพาะคนรวยในประเทศมาส่งเสริมยังไม่พอ    ยังเชื้อเชิญ  เรียกร้องให้คนรวยจากต่างประเทศเข้ามาร่วมหากินกันในประเทศมากยิ่งขึ้นไปอีก  ผลก็คือ  การขยายตัวทาวเศรษฐกิจแท้จริงกลายเป็นการเร่งรุดขุดทรัพยากรธรรมชาติในประเทศนี้มาใช้อย่างมหาศาล  จนขณะนี้หมดไปเป็นอย่าง  ๆตามลำดับ ๆ  แล้ว  ปลาในทะเลก็หมดเกลี้ยง   กลายเป็นประเทศที่ต้องไปขโมยปลาประเทศอื่นเขา  มาเลเซียบ้าง  พม่าบ้าง  พอเขาจับได้  ลงโทษก็ร้องว่ากฎหมายเขาป่าเถื่อน ยกตนว่าเจริญกว่า  ดูน่าทุเรศทุรัง  ป่าไม้ก็หมดเมืองหมดป่าต้องเที่ยวขอเขมรเขาบ้าง  ลาวบ้าง  แอบแฝงตัวไปในคราบของนักวิชาการป่าไม้ ( นักทำลายป่าไม้มากกว่า )  ก็ดูทุเรศทุรังไปอีกแบบหนึ่ง  ไม่มีอะไรจะขุดก็เพ้อฝันเอาว่ามีขุมทองมหาศาลฝังไว้ใต้แผ่นดินเมืองกาญจนบุรี  มูลค่านับแสน ๆ ล้าน ก็เอารถแบคโฮมาขุดภูเขาปลิ้นแผ่นดิน ทำลายหน้าดินเดิม  รวมทั้งทรัพยากรทัศน์วิสัยการท่องเที่ยวแหล่งธรรมชาติพังพินาศฉิบหายไปหมด  ก็ดูแสนทุเรศเป็นยิ่งนัก  ไม่นึกว่าถ้าเขาเอามาฝังไว้จริง  เจ้าของเขาจะไม่เคลื่อนไหวอย่างใหญ่หลวงได้อย่างไร ?  

           

เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไร้ที่พึ่ง  พวกเขาจึงไหลไปหาหมอดู  ไปหาผู้วิเศษหมอยาวิเศษ  ไปหาพระอาคมขลัง  ไปหาพระเกจิอาจารย์  ไปหาพระ  อริยบุคคลจอมปลอม  ( เพียงเชื่อว่ามีเวทมนต์บันดาลให้ได้นั่นได้นี่  ได้เป็นนั่น เป็นนี่ ให้ได้โชคลาภอย่างนั้นอย่างนี้  ให้ได้ทรัพย์ ร่ำรวยเงินทอง ฯลฯ ) นี้ล้วนเป็นสิ่งบอกเหตุ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้งทั้งสิ้น

 

ความเปล่าเปลี่ยว  ชีวิตที่ไร้การประกันนั้นแหละทำให้คนทั้งหลายหันไปหาวัตถุมงคล  พระเครื่อง  หันไปหาต้นไม้ใหญ่  หาศาลพระภูมิ  หาเดือน  หาดวงตะวันที่เปล่งประกายแปลก ๆ  และที่น่าอดสูใจก็คือ  รัฐบาลได้ปล่อยสตรีและเด็กให้โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง  ถึงกับต้องขายเนื้อขายตัวทำมาหาเลี้ยงชีพ  ดิ้นรนไปทุกหนทุกแห่งเท่าที่มีความหวังว่าจะได้เงินมาทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการขายตัว  ขายชีวิตให้เป็นวัตถุ ในต่างประเทศ ขายทุกสิ่งทุกอย่างในตัวตนเรือนร่าง  แม้กระทั่งจิตวิญญาณ  อย่างไม่คะนึงชาติ

ศาสนา วรรณะใดใด เพียงขอให้รอดพ้นความอดความอยากไปวันหนึ่ง ๆ 

 

กรณี โสเภณีไทย ผู้ใหญ่และโสเภณีเด็ก มิใช่ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนแล้วหรือ ที่บอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ?

 

ถ้ายังไม่แจ่มแจ้ง ก็มาดูว่า โสเภณีเด็ก นั้นคืออะไร ? เพื่อให้มีวิสันทัศน์กว้างขวางขึ้นก็ลองพิเคราะห์ดูว่า โสเภณีเด็ก นั่นแหละคือความหมายที่รัฐบาลยุคนี้ทอดทิ้งประชาชน ทอดทิ้งเด็กหญิงตัวน้อยๆ ของชาติ  โดยปล่อยให้เด็กตาดำๆ ต่อสู่ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่เหลียวแล เป็นที่น่าอดสูใจ ที่จนกระทั้งบัดนี้วงการเมืองของชาติก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังอยู่ห่างไกลไปจากความรู้สึกในด้านของวัฒนธรรมของชาติของแผ่นดิน ห่างไกลไปจากวิถีชีวิตของประชาชน ห่างไกลไปจากความรู้สึกในการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา และคนที่เข้าใจเรื่องราวปัญหาอันละเอียดอ่อนเช่นนี้ มิได้มีในวงการบริหารและการเมืองของระบบใหม่ ที่เป็นเพียงประชาธิปไตยจอมปลอมอยู่ในระหว่างนี้เท่านั้น

 

และเมื่อไม่มีองค์การใด ใคร รัฐบาลใด จัดการความเป็นธรรมให้พวกเขา สังคมคนส่วนใหญ่ โดยสถานะแห่งความเป็นคน คือสถานะที่มีใจรักความยุติธรรม เขาจึงเริ่มจัดการเอาเอง เพราะเขาก็มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกับความเป็นคนของคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้น การจัดการของประชาชนยุคนี้ ยุคที่ประชาชนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง จึงออกมาในรูปความรุนแรง การฆ่าล้างแค้นคนร่ำรวย เกิดขึ้นได้อย่างกับว่าฆ่าวัวฆ่าควาย การลักขโมยรูปแบบต่างๆ  ความกล้าตอบโต้ด้วยประการต่างๆ ของชนผู้ต่ำต้อย อันเนื่องมาจากสาเหตุแห่งความสิ้นไร้ไปแล้วซึ่งความนับถือหรือเกรงอกเกรงใจที่เริ่มแสดงให้เห็นว่า สังคมเปลี่ยนโฉมหน้าทาง จริยธรรมไปในแบบที่กระด้างขึ้นไปเรื่อย ๆ  การเดินขบวนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่พวกหัวนอกกลับว่าเป็นมาตรการทางประชาธิปไตย  แต่พอประชาชนไล่ให้ออกกลับไม่ยอมรับมติประชาชน  ว่าเป็นวิถีทาง ประชาธิปไตย  จึงไม่รู้ว่าใช้มาตรการทางวัฒนธรรมแบบไหน   หรือลงไปที่เดียวกัน  ประชาธิปไตยตาม

ในฉัน  ?   คติของคนโงเง่าทางประชาธิปไตยพวกหนึ่งที่เป็นตัวมอดในวงการประชาธิปไตยของโลก

 

ฉะนั้น  สถานการณ์อันร้อนระอุทุกวันนี้จึงล้วนมีสาเหตุมาจากปัญหาอันใหญ่หลวงเกี่ยวกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยนี้  แต่คนที่มัวแก่งแย่งกันอยู่จึงไม่รู้สึก  คือปัญหาประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศถูกทอดทิ้ง  ทุกวันนี้รัฐบาลและนักการเมือง  นักวิชาการระดับผู้นำ  ๆ ของชาติ  ได้รู้สึกกันหรือ ?

 

เปล่าเลย ! ระบอบการปกครองสมัยใหม่  ในวัฒนธรรมอันสับสน  มิได้รู้สึกเลย  และนั้นก็อาจหมายความว่า  มิได้รู้สำนึกในบุญคุณของผู้มีบุญคุณ   มิได้เห็นความดี  ของผู้ที่ได้ทำความดีให้แก่ประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่กันเลย  เช่นนั้น ! จึงเป็นเรื่องราวสำคัญที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาล  และการบริหารผู้ที่ได้รับการถ่ายโอนอำนาจการปกครองประเทศมาจากระบอบการปกครองเดิม  โดยคิดว่าจะทำได้ดีกว่า  จึงต้องพิจารณาจริงจังสักหน่อย  ในปัญหาประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  ในประเด็นที่ว่าเมื่อคนส่วนใหญ่เขารู้สึกขึ้นมา  อะไรจะเกิดขึ้น ?  ในเมื่อ  คนก็คือคนคนส่วนใหญ่ในท้องนาก็คือคน  เช่นเดียวกับคนส่วนน้อยนั้นบริหารการงานการเงินอยู่ในตึกแอร์เย็นฉ่ำ  หรือบนหออันสูงเทียมฟ้า  ในยุคที่ใคร ๆ ก็อาจใช้เท็คโนโลยี่อันวิเศษได้เสมอเหมือนกัน  ระวังว่าชีวิตจะมีความหมายอย่างไรถ้าปราศจากความมีมนุษยธรรมให้แก่กันและกันระหว่างคนมั่งมีกับคนผู้ยากไร้  !!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 วันกองทัพไทย

25 มกราคม 2539 

 

ถ่ายทอดสดพิธีสวนสนาม กองทัพไทยวันสำคัญของกองทัพ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทแทรกบทที่ 8   กาม

 

กามคืออะไร?   กามคือโลก   อะไรคือโลกสิ่งนั้นคือกาม  

ยุคใหม่นี้  กีฬาเป็นโลก  เรียกว่าโลกกีฬา   กีฬานั่นแหละคือกามอันยิ่งใหญ่

มวยคือโลก  โลกคือมวย   มวยนั่นแหละคือกามอันยิ่งใหญ่

 

กามมิใช่เพียงเรื่องความสนานสนุกหรือสนุกสนานจากทางเพศอย่างที่คนคิดเอาง่าย ๆ แค่นั้น  แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้มนุษย์ชื่นชม

 

เช่น เมื่อเราไปท่องเที่ยว  เราเรียกว่าไปเสพกาม

เราดูภาพยนตร์เราก็เสพกาม  ภาพยนตร์บู๊สะใจ  ก็เป็นกาม  ดูภาพยนตร์สงคราม ล้างผลาญ มันสะใจ ก็เป็นกาม

 

เมื่อเราประสบผลสำเร็จเราตื่นเต้นยินดี    นั่นก็เป็นกาม

กามจึงเป็นทั้งหมดของความดีงามในโลกมนุษย์

 

แต่ปรมัตถมิได้อยู่ที่นี่   แต่อยู่ที่ว่า กามนี้ มิอาจดับทุกข์ของมนุษย์ได้

กามเป็นแต่เพียงสิ่งบรรเทาทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว  ทำหน้าที่เพียงเพื่อบดบังอำพราง  เมื่อสร่างแล้วก็กลับไปทุกข์  แบกทุกข์กันต่อไป  และไม่นานก็หันกลับเข้ามาสู่กาม  

ชีวิตทึ่ปราศจากกาม หรือหากามเสพไม่ได้เพราะไร้เงินตรา ก็เป็นชีวิตที่แสนทุกข์ และแสนเหี่ยวแห้งแล้งลำบาก

 

โทษของกามก็คือ   เป็นตัวหลอกลวงตัวฉกาจ   มันหลอกจนกระทั่งเราแก่หง่อมลงไปแล้ว  จึงค่อยรู้ว่ามันหลอกเรา  และเมื่อนั้น เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้  เพราะเราแก่เกินไปแล้ว   มนุษย์จึงไม่ควรประมาทในกาม  ในชีวิต  และควรศึกษาสัจธรรมในศาสนาเสียบ้าง

 

เพราะศาสนาบอกสัจธรรมเกี่ยวกับความดับทุกข์ที่แท้จริงให้  ไม่ใช่เพียงบรรเทาเหมือนชีวิตที่เป็นอยู่ธรรมดา ๆ ในโลกแห่งกาม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว พ่อเลี้ยงทารุณลูกเลี้ยงวัย 3 ขวบ 

ช่อง 3

ภาคค่ำหนึ่งทุ่ม  25 ม.ค. 39

 

พ่อเลี้ยงทารุณลูกเลี้ยงวัย 3 ขวบ  เอาไฟบุหรี่จี้ตามตัวให้สะใจ  มีการเสนอภาพข้อมูลเด็กถูกทารุณกรรม  พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก (เลขาธิการมูลนิธิ) มาอธิบาย และให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์เด็กถูกทารุณ  พฤติกรรมเช่นนี้  เป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานภาพภายในของคนผู้ประพฤติตนเช่นนั้นได้อย่างชัดเจนว่า     ทำไปด้วยความรู้สึกสะใจ     อย่างสะใจ     โดยลืมตัวไปอย่างสิ้นเชิงว่า  คนที่ตนทำทารุณกรรมนั้นก็เป็นเด็กอ่อน ๆ มนุษย์มีเลือดเนื้อ     ถ้าลองศึกษาความเป็นมาของพฤติกรรมนี้   น่าจะได้พบว่า  เป็นพฤติกรรมเอาอย่างจากภาพยนตร์จีนกำลังภายในนั้นเอง    เพราะหนังจีนนั้นได้ชี้นำพฤติกรรมสะใจเช่นนี้อยู่แทบทุกเรื่องที่มีอยู่ส่วนหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น ผลอันเกิดจากการถูกปลูกให้สัญชาติญาณเถื่อนภายในจิตดั้งเดิมใต้สำนึกนั้นหลุดออกมาจากปราการที่ล้อมเอาไว้  ด้วยระบบวัฒนธรรม

ของสังคม  ด้วยระบบศีลธรรมของศาสนา  ยิ่งก่ออันตรายด้านนี้มากยิ่งจนน่าวิตก  และปัจจุบัน  กรณีที่ร้ายแรงผิดมนุษย์เช่นนี้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งแล้วครั้งเล่า  น่าที่สังคมไทยจะเริ่มศึกษาภัยความ

สะใจ  อันหนังจีนฮ่องกงเผยแพร่อยู่อย่างเมามันในสังคมไทยขณะนี้  อย่างจริงจังกันเสียที

 

ทีวีฮ่องกง  ขยายงานธุรกิจบันเทิง  โดยเฉพาะละครโทรทัศน์และภาพยนตร์

ดำเนินกิจการทั่วเอเชียในไทยร่วมกับช่อง  3  มีดาราฮ่องกงมาโบกไม่โบกมือทำหน้าตาเปี่ยมไปด้วยความยิ้มแย้ม  พวกเขาคงคิดกันหนักเรื่องสถานการณ์การปกครองฮ่องกงภายหลังอังกฤษคืนให้จีนแผ่นดินใหญ่  ในปี  .. 2540 ใกล้ ๆ นี้  เพราะจีนแผ่นดินใหญ่เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม  ฮ่องกง  ดูจะเป็นแดนกากเดนวัฒนธรรม  ในสายตาของจีนแผ่นดินใหญ่  นั่นก็หมายความว่า  เขาคงเอากากเดนไปเทถังขยะทิ้ง     เมืองไทยจะคิดกันอย่างไร     ถ้าวัฒนธรรมฮ่องกงถูกจีนแผ่นดินใหญ่ขับไล่  หวังแต่ว่าสิ่งที่ว่าจะไม่หลงพลัดมา

 

ข่าวจากอังกฤษ     คนแก่หง่อมคู่หนึ่ง  ทำพิธีแต่งงานกันในโบสถ์คาธอลิก  ให้สัมภาษณ์ว่า

ทั้งสองไม่ถือเรื่องอายุ  ถือเรื่องความต้องการตรงกัน  จึงแต่งงานกัน  ดูในภาพข่าวเห็นหน้าตางัวเงีย  เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนแท้จริงคงไม่ใช่เพราะความต้องการทางเพศหรอก     แม้ฝ่ายหญิงจะบอกว่าไม่เคยแต่งงานมาก่อนก็ตาม  แต่ความเป็นจริงเป็นเพราะความว้าเหว่เปล่าเปลี่ยว  ตัวคนเดียวในโลกกว้าง  ก็เลยหวังจะได้เพื่อนพูดคุยด้วยเท่านั้นเอง  เพราะนี้เป็นธรรมชาติอันล้ำลึกอย่างหนึ่งของมนุษย์  ยิ่งวัยใกล้ร่วงไปเต็มที่แล้วเพียงใดก็ตามคนก็ยิ่งเปลี่ยวเดี่ยวโดด  มองข้างหน้าก็ไม่เห็นหนทางที่จะไป  มองข้างกายก็ไม่เห็นใครเคียงข้าง  มองข้างหลังก็เห็นแต่ทางยาวไกลที่ไร้คนเดินทาง     คนกลัวความเปล่าเปลี่ยวอย่างลึกซึ้งและเมื่อรู้สึกอย่างจริงจังแล้วว่า  ความตาย  คือความที่ต้องไปอย่างไม่สมัครใจและอย่างไม่มีทางเลือกเลยนั้น  กำลังใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว  คนก็ยิ่งกลัว  คนส่วนมากที่สุด  เมื่อรำลึกถึงความตายตอนแก่ ๆ จะบังเกิดอาการขนหัวลุกและหวั่นกลัวอย่างลึกซึ้งและสุดแสนทรมานอยู่ลึกซึ้งในจิตใน  ฉะนั้น  จึงเป็นธรรมชาติธรรมดาของคนแก่ที่จะต้องหันหน้าเข้าหาศาสนา  เพื่อกล่อมเกลาให้ความรู้สึกสุดขีดนี้ลดลงหรือหลงลืมเสียบ้าง    และโดยวัฒนธรรมไทยได้มีความเข้าใจในธรรมชาติเช่นนี้ดีมาแต่อดีต  จึงได้มีทางออกสำหรับผู้เฒ่า  ที่มีคุณค่าต่อชีวิตอย่างยิ่ง     ฉะนั้น     เมื่อเราได้พบข่าวเช่นนี้  คือคนแก่หง่อมแต่งงานกันเช่นนี้     คนไทยจึงอมยิ้มและคงยิ้มเยาะหยันอยู่ในใจว่าชีวิตใกล้ตายแล้ว     ยังไม่รู้สึกว่าจะต้องตระเตรียมตัว  เพื่อเดินทาง

ไปสู่ความตายอย่างไรเลย     นี้แหละ  คนไร้ศาสนา  และไร้วัฒนธรรม ! ไม่ได้มีความรู้อยู่เลยว่า     การเตรียมตัวก่อนตายนั้น     เป็นงานของชีวิตทั้งสิ้น  ชีวิตทั้งสิ้นจะต้องมีงานอันนี้เป็นของยิ่งใหญ่และจะต้องเป็นภาระสำคัญที่สุดของชีวิต     ไม่ว่าชีวิตของปุถุชน  หรือ  พระอรหันต์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ไร้พรมแดน การต่อสู้เพื่อสันติภาพต้องศึกษาภัยที่ไร้ตัวตน

ช่อง  5 

วันกองทัพไทย  25 .. 39   

 

หลังข่าวภาคค่ำ     เอาโคทม อารียา  อาจารย์  คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในฐานะประธานโครงการรณรงค็เพื่อสันติภาพในสังคมไทยมาสัมภาษณ์  ได้ความว่า  ท่านต่อสู้เพื่อไม่ให้ใช้ความรุนแรงในสังคมไทย     เมื่อถามว่าความคิดมาจากไหน  ตอบว่ามาจากอดีตการต่อสู้ของบุคคลสำคัญ  เช่น  มหาตมคานธี  เป็นต้น 

 

ถ้าอยากเอาความคิดมหาตมคานธีมาเป็นแบอย่างการต่อสู้ก็ควรต้องศึกษาปรัชญาทางศาสนาให้ลึกซึ้งจึงจะเข้าใจเรื่องสันติภาพ  และเห็นเป้าหมายและวิธีการต่อสู้อันแท้จริง  แต่สำหรับยุคโดยสถานการณ์ขณะนี้  เราต้องศึกษากันอย่างละเอียดจริงจังว่า  ความรุนแรงถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ?  อะไรเป็นสาเหตุแห่งพฤติกรรมรุนแรงในสังคม?  เพราะบางที  บางสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นผลร้ายในปัจจุบันนี้กลับเป็นผลร้ายอย่างลึกซึ้งและค่อยคืบคลานไปอย่างไม่รู้ตัว     ภัยที่ไม่เห็นตัวตนกำลังเป็นอันครายอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนี้  ในขณะนี้     เพราะบางทีสิ่งที่ว่านี้ได้สร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม  ให้สังคมเข้าใจว่าเป็นของดี  ของมีประโยชน์  แต่โดยแท้จริงแล้ว  กลับเป็นตัวทำลาย  ตัวกัดกร่อน  ตัวก่อปัญหาความรุนแรงอย่างลึกซึ้งที่ฉกาจกรรจ์อย่างที่สุด  แต่ในเมื่อมันไม่มีตัวตนให้มองเห็น  มันจึงได้รับการต้อนรับ     เพื่อให้มันอยู่   ขยายตัว   และทำลายสังคมต่อไป  สร้างความรู้สึกนึกคิด  สร้างคติแห่งความรุนแรงกันต่อไป  เพิ่มดีกรีแห่งความเข้มข้นไปทีละเล็กทีละน้อย  มิต่างจากไวรัสเอดส์     มันเป็นอันตรายอย่างซึมลึกเหมือนไฟสุมขอน

 

ฉะนั้นเราจะต้องวิเคราะห์สิ่งที่ไม่มี่ตัวตนให้เห็นตัวตนอย่างกระจ่างจัด     ด้วยการศึกษาทฤษฎีทางศาสนา

เพราะเรื่องราวทางศาสนาจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน  เพื่อความเข้าใจภัยอันตรายจากสิ่งที่ไม่มี

ตัวตนให้เห็นกระจ่างแจ้ง เมื่อนั้นจึงจะสามารถดำเนินงานเพื่อสันติภาพในสังคมไทย  ได้อย่างฉลาด  มีเป้าหมายและวิธีปฏิบัติอันแน่นอน  และ  ได้บุญอันยิ่งใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รวมการเฉพาะกิจ เกลือไอโอดิน

ช่อง  11      

29  ..  39  เวลา  19.20 .

 

เกลือเสริมไอโอดีนพระราชทานทั่วไทย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ตรงประเด็น เอี้ยวเกินไปเหนื่อยคอ

ช่อง  9 

วันจันทร์ที่  29  ..  39 หลังข่าวสองทุ่ม 

 

เอาสุภาพบุรุษ  นักการเมืองมา  2  คน  ข้าราชการ  1  คน  มีเจ้าของรายการเอี้ยวคอถามตั้งแต่ต้นจนจบ  ดูแล้วเหนื่อยคอแทน  ทำไมไม่จัดที่นั่งนั่งกันสบาย ๆ  ไม่ต้องเอี้ยว  หรือเอี้ยวก็ให้น้อยหน่อย  คนดูก็รู้สึกเอี้ยวไปด้วย  เหนื่อยจริงเลย  ไม่ดูเจิมศักดิ์เขาทำบ้าง  หรือจะเป็นเพราะฟังเรื่องราวป่าท่าชนะแล้วเกิดเหนื่อยไปก็ยังสงสัยอยู่  โอ  ช่างเป็นเหตุการณ์ที่บ่งบอกเหลือเกินว่า  การเมืองยุคประชาธิปไตยจอมปลอมนี้  ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้าน เขาช่างไม่คิดถึงเรื่องประเทศชาติส่วนรวมกันเลย มีแต่คอยจะเอาให้ได้ ให้เป็นให้มีของตัวเองก่อนอื่นเสมอไป  คงได้เห็นกันละเห็นจากกรณีป่าท่าชนะนี้แหละ  ว่าธาตุแท้ของคนเป็นอย่างไร  แต่เมื่อได้เห็นแล้ว  ก็ไม่รู้จะมีอะไรหรือเปล่า  ไร้ความหวังเสียจริง ๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว  ประหารชีวิตนายยอดชัด เสือภู่

ช่อง 5

ก่อนทุ่ม  31 ม.ค. 39

 

ศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษาตัดสินประหารชีวิตจำเลยฆ่า  นางสาวโจแอน  นายยอดชัด  เสือภู่  ประกาศขอให้ศาลส่งประหารภายใน 24 ชั่วโมง  เพื่อรับกรรมที่ก่อ นี่แหละคือคนร้าย  แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนร้ายพุทธ  คือคนร้ายที่อยู่ในวัฒนธรรมพุทธ  เป็นอย่างนี้  พวกเขาเชื่อกรรมและเห็นสัจธรรมว่าไม่มีใครจะซ่อนกรรมไว้ได้  วิธีที่ดีที่สุดก็คือการชดใช้หนี้กรรมเสีย  เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีแก่ตนเพียงเท่านั้น  วัฒนธรรมเช่นนี้ได้เลี้ยงบำรุงรักษาคุมครองสังคมและประเทศชาติมา เป็นเวลาช้านาน  และได้เกิดผลดีในวาระคับขันของประเทศชาติทุก ๆ ครั้ง แต่ความละเอียดสลับซับซ้อนแห่งวัฒนธรรมไทยพุทธนั้น  ยากที่จักมองเห็นและเห็นความสำคัญอันยิ่งใหญ่  เราไม่เข้าใจสิ่งนี้  จนกระทั่งคิดว่า  เรามีเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองประเทศไทยอยู่  ความจริง ๆ นั้น  อันว่าพระสยามเทวาธิราช นั้น  แท้ที่จริงก็คือระบบวัฒนธรรมของชาติไทยเรา อันผสมผสานทุกสิ่งทุกอย่างภายในชาติ  มีสิ่งอันนำพาและหล่อหลอม นั้นก็คือวัฒนธรรมพุทธ  และมีหลายสถาบันอันยิ่งใหญ่  ได้ช่วยสร้างและเสริมวัฒนธรรมนี้จนเป็นปึกแผ่นแม้ในปัจจุบัน นั่นเอง  แต่ในสถานการณ์โลกยุคโลกาภัฒน์  วัฒนธรรมของชาติจำเป็นจะต้องได้รับการวิเคราะห์  จำเป็นต้องมองวัฒนธรรมที่ไม่มีตัวตน  ให้เห็นเป็นรูปร่างขึ้นโดยชัดเจนให้ได้เพื่อประโยชน์ของการศึกษา  วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์  มิใช่ไสย

 

โดยที่ประการแรกนั้นเราต้องเข้าใจว่า  วัฒนธรรมแห่งชาติ  ที่แม้เปรียบเหมือนทะเลใหญ่  ที่เราชาวพุทธเคยเชื่อว่า  ทะเลอันยิ่งใหญ่จะซัดสาดสิ่งสกปรกขึ้นฝั่งเสมอนั้น  บัดนี้ไม่เป็นความจริงแล้ว  เพราะทะเลยุคนี้แคบไปเสียแล้วสำหรับยุคไฮเทคโนโลยี  เพราะบัดนี้ได้พบได้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า  ทะเลใหญ่ที่ได้เป็นมลพิษไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งปลาโลมาพากันมาเกยตื้นตายนับร้อยนับพันตัว  ก็เห็น ๆ อยู่  แม้กระทั่งบนชั้นฟ้าอันกว้างใหญ่สมัยนี้  ที่กลั่นกรองรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์คือ อุลตราไวโอเลต  นั้น ก็พรุนไปแล้ว  ฉะนั้น  อย่าคิดเลยว่าพระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองเราได้หากเราไม่ช่วยกัน  และช่วยดูแลพระสยามเทวาธิราชกันบ้าง  นั่นคือ  เราต้องเข้าใจเรื่องราวของวัฒนธรรมประจำชาติ  จะต้องรู้ว่าสถานะของวัฒนธรรมประจำชาติเราบัดนี้ มีสถานะเป็นอย่างไรบ้าง  ต้องหมั่นสำรวจ  และตรวจตราภัยอันตราย  ต้องรู้ว่าตรงไหน  แห่งใดเป็นจุดอ่อนแห่งวัฒนธรรมไทย  และต้องรู้ภัยอันยิ่งใหญ่และจะต้องรู้ภัยที่เป็นอันตรายบ่อนทำลายอยู่ในขณะนี้  อะไรเป็นข้อต้องห้ามอย่างชงัดที่สุด  ที่ถ้าปล่อยแล้วจะเป็นอันตรายทันทีดุจดังไฟรมแป้งผึ้งให้อ่อนม้วนลงฉะนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 เช้าวันนี้ วิเคราะห์สถานการณ์ทารุณเด็กเพิ่มขึ้น

ช่อง  5 

วันจันทร์ที่  5  ก.พ. 39  เวลา  07.30-08.10 น. 

 

มูลนิธิคุ้มครองเด็ก  โทรศัพท์  5386227, 5394041 คุณครูจากมูลนิธิคุ้มครองเด็กได้รับเชิญมาและเล่าเรื่องการทารุณกรรมเด็ก  ว่าทุกวันนี้มีมากและในรูปแบบที่ทารุณ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีในสมัยที่เรียกกันว่ายุคพัฒนาแล้ว  เช่น  กรณีพ่อเลี้ยงทำแก่ลูกเลี้ยง เอาบุหรี่จี้ตามตัวและยังไม่พอ  ไม่สะใจ  ก็ทำให้สะใจต่อด้วยการบังคับให้กินแมงสาบ  หรือบางวันจับโยนลงจากบ้านทั้งตัวลุ่น ๆ ให้ร้องโอดโอยให้ฟัง  บางครั้งกันข้าวอยู่ด้วยกัน  บังคับให้กินพริกบ้าง  เอาซ้อมกระทุ้งเข้าไปในปากบ้าง ฯลฯ  ทารุณจนเด็กมีภูมิต้านทานเพราะความชินแล้วก็เพิ่มมาตรการใหม่ที่ยิ่งสะใจไปกว่าอีก 

 

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่มูลนิธิเด็กเล่าให้ฟัง  และน่าเชื่อ  แต่เมื่อนึกดูว่าเขาได้แบบอย่างการทำทารุณนี้มาจากไหน  ถ้าไม่เฉลียวใจคิดก็จะไม่รู้ว่า  มาจากหนังจีนกำลังภายในที่มีให้ชมกันเกลื่อนในขณะนี้  ทางจอแก้ว  โดยระบบโทรทัศน์  และวีดีโอ  นั่นเอง  ทุกวันนี้หนังจีนฮ่องกง  ยังคงชี้  ย้ำ  ช้ำ  เติม  ลงไปในกิเลสของมนุษย์ส่วนที่เป็นสัญชาติญาณอันล้ำลึก  ต่อไปไม่หยุดยั้ง  เห็นได้จาก  พล๊อตเรื่องในหนังจีน  จะมีแต่ความซ้ำซากในเนื้อหา  หากแต่สิ่งที่สนองกิเลสนั้น  เป็นความสะใจ  เขาขายสิ่งที่เรียกว่า  ความสะใจ  นี้ได้เพราะเขารู้ดีว่ากิเลสเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยมีความพอ  การสนองกิเลสของมนุษย์  ไม่เคยสิ้นสุดลงซึ้งความพอใจจึงไม่เคยผิดหวัง  ยังคงได้รับการต้อนรับอย่างสม่ำเสมอ  และนับวันจะทวียิ่งขึ้น  แต่ผลร้ายนั้นจะปรากฏเหมือนปีศาจ  ที่ไม่มีตัวตน  อันเป็นผลจากการปลุกจิตสำนึกเถื่อน  ซึ่งมีอยู่ในภาคภายในของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้ว 

 

นั่นคือ  ความบาป  เป็นคุณสมบัติชั้นต้นของมนุษย์  แต่สัญชาติญาณบาปนี้  ได้ถูกกดข่มไว้ด้วยคำสอนของศาสนาทุก ๆ ศาสนา  ดังดังจะเห็นว่าศาสนาพุทธ  มีศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ศาสนาคริสต์ก็มีอยู่ในศีล  10  ว่าด้วยการห้ามฆ่าคน  มีข้อธรรมะของทุก ๆ ศาสนาสั่งสอนให้มีความเมตตาและมีความกรุณา  ซึ่งระบบศีลธรรมของทุก ๆ ศาสนา  ล้วนมีความมุ่งหมายที่จะกดขี่  กำราบและปราบปราม  มิให้  สัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์อันที่หลุดออกมาสู่โลกภายนอกและเป็นอันตรายต่อโลกภายนอกได้  กล่าวแบบภาษาพุทธก็กล่าวได้ว่า  สังคมเราเป็นสังคมที่มีแนววัฒนธรรมของชาติไปในการกดข่มขี่และสังหารกิเลสให้หมดไป  เพราะกิเลสนั้นเป็นอันตรายต่อมนุษย์  ทั้งรูปปัจเจกบุคลและรูปสังคมมนุษย์  กลายเป็นทั้งระบบศาสนาและวัฒนธรรมของชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมาเป็นเวลาช้านาน  จึงป้องกันเหตุรุนแรงชั้นพื้นฐานไม่ให้เกิดขึ้นในโลกได้ 

 

แต่บัดนี้  ยุคใหม่นี้นักสร้างภาพยนตร์ที่มีความเข้าใจในความลับเรื่องกิเลสของมนุษย์ส่วนใหญ่  หากแต่เป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวจัดจ้าน  ได้ทวีสร้างหนังสนองกิเลสออกมาอย่างไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม  เป็นผู้ที่ฉวยโอกาสจากความเขลา   ไม่ทันของชนในสังคม  เห็นแก่เงิน  และโดยเจตนาในการสร้างหนังประเภทที่ปลุกเร้ากิเลส   หรือไม่สำนึกเถื่อนที่ถูกกดข่มไว้ใต้จิตอันลึกซึ้งของสังคมนั้น  ได้มีผลในทางทำลายระบบจิตใจของสังคมไปทั้งสิ้น  ดังปรากฏผลออกมาจากกรณี  ข่าวในรายการเช้าวันนี้  ผลทางสภาพจิตของสังคมที่ไม่พึงปรารถนาเพราะความรุนแรงเกิดจากนิสัยความเมามันสะใจในการกระทำร้ายผู้อื่น  ทำอย่างไร  จึงจะมีบทพิสูจน์เกี่ยวกับอันตรายจากหนังฮ่องกง  และทำอย่างไรจะสามารถสะกัดกั้นกระแสฮ่องกงนิยม  ที่เป็นภัยอันตรายต่อตัวเองแท้ ๆ ของสังคมไทยได้นั้น   คงต้องอาศัยมาตรการทางกฎหมาย  และวัฒนธรรมอย่างแน่นอน  ส่วนหนึ่งนอกไปจากนักวิชาการที่ช่วยกันด้านงานวิจัยค้นคว้าเรื่อง  สัญชาติญาณเถื่อนภายใต้จิตสำนึกมนุษย์  ว่ามีอยู่จริงอย่างไร  และเมื่อถูกปลุกออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว  ผลร้ายแรงนั้นย่อมปรากฏ  ดังที่เห็นอยู่ในสังคมไทยทุกวันนี้นั้นเอง  และเมื่อฮ่องกงกลับคืนไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่เราจะทำอย่างไรกับแนวความคิดนี้  ซึ่งอาจถูกปิดกั้นเสียจากแผ่นดินใหญ่  และจะหลั่งไหลเข้าประเทศไทยและจุฟักฟูมปีศาจร้ายให้เติบโตขึ้นมา  โดยที่คนไทยมองไม่เห็นและไม่รู้  ใครจะเป็นคนดูและในเรื่องในปัญหานี้ ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มองต่างมุม ปิยะณัฐสั่งปิดรายการเจิมศักดิ์

ช่อง  11 

วันอาทิตย์ที่  12  ก.พ. 39 

 

อานันท์  ส. ศิวรักษ์  จำลอง  วิจารณ์แหลกเรื่องนายปิยะณัฐ  วัชราภรณ์  จะสั่งปิดรายการมองต่างมุมของ  เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  ว่าเป็นการทวนอดมการประชาธิปไตย  นสพ.  ก็วิจารณ์แหลก  อย่างข่าวสด  บทบรรณาธิการ  12  ก. พ. 39  ในเรืองนี้  เราต้องตอบตัวเองให้ได้เสียก่อนว่า  “ใครคือ  เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง ?  ”  หรือ  “ เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  คือใคร    หรือ  เจิมศักดิ์เอง  เขาคิดว่าเขาเป็นใคร  และ  ปิยะณัฐ  วัชราภรณ์  เป็นอย่างไรบ้าง ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รายการพิเศษ

ถ่ายทอดสด  “การละหมาดในค่ำที่  27  แห่งรอมฏอน”

ช่อง  9  ช่อง  11 

วันพฤหัสบดี  ที่  15 กุมภาพันธ์  2539   

 

จากเมืองมักกะฮ์กับ  อีกเมือง  เมตินา  ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย  เวลา  24.30  น.  มีคณะกรรมการกลางอิสลาม  มาร่วมบรรยาย  4  ท่าน  ถ่ายทอดพิธีละหมาดสตรอเวียะ  (เขียนตามเสียงที่ได้ยิน)  ในเดือนถือศีลอด  ผ่านไปขั้นหนึ่ง ๆ ก็มีสวดพระคัมภีร์ตอนหนึ่ง  ที่ลึกซึ้งสุขุม  เป็นตอน ๆ ไป  ตามขั้นการละหมาดแต่ละขั้นเรียกว่า  ล๊อกอัต  การละหมาดเป็นข้อบัญญัติสำคัญ  1  ใน  5  เป็นเงื่อนไขของศาสนาเบื้องต้นคือ  ให้ศรัทธาต่อพระเจ้าก่อน  มีกว่า  6,600  พระโองการ  ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน  ซึ่งผู้เป็นอิหม่าม  ผู้นำการละหมาดจะต้องจำได้  พาว่าได้ด้วยปากเปล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 แผ่นดินธรรม  หลวงพ่อพุธ ฐานิโยเทศน์

ช่อง  5

วันอาทิตย์ที่  25  กุมภาพันธ์  2539  เวลา  07.30  น. 

 

หลวงพ่อพุธฐานิโย   วัดป่าสาละวัน  จ. นครราชสีมา  สายหลวงปู่มั่น  หลวงปู่ฟั่น  เทศน์  “ อย่านับถือวัตถุหรือบุคคล  ให้นับถือธรรม  พุทธ  ธรรม  สงฆ์  เพราะหากยึดวัตถุ  หรือบุคคลแล้ว  เมือวัตถุหรือบุคคล เสื่อมสลายไป ก็จะนึกว่าศาสนาหมดไปแล้ว ”  ทำสมาธิโดยการสวดมนต์ประจำ  เอาบทพระพุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ  เป็นหลัก  สวดไปเท่าอายุ  หรือเท่าลูกประคำ  108  เพียงฝึกสติให้ดี  อย่าไปยึดมั่นในพิธีการมากนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ความรู้เรื่องเอดส์  เขาสร้างกรรมของเขาเอง

ช่อง  5 

วันอาทิตย์ที่  25  กุมภาพันธ์  2539  เวลา  08.00  น.   

 

ถัดรายการแผ่นดินธรรม  เวลาประมาณ  3  นาที

 

ในช่วงหลังมานี้  น้ำเสียงของสังคมไทย  หรือเสียงที่ออกมาจากจอแก้วดูจะมีแนวโน้มไปในทางที่ให้ช่วยกันแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ที่เป็นเอดส์ความจริงแล้วถึงอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้  เพราะผู้ที่เป็นโรคนี้  เขาได้สร้างกรรมของเขาเอง  ผู้ใดสร้างกรรมอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้น  และสังคมก็มีสิ่งที่เรียกว่า  จิตวิญญาณของสังคม  นั่นคือความรังเกียจ  อันเป็นธรรมดา  มิใช่รังเกียจเชื้อโรคภายในตัวผู้ป่วย  แต่รังเกียจในความประพฤติของคนป่วยนั้น  เมื่อกับรังเกียจ  คนโล้นที่ประทุษร้ายสตรีนั้นเอง  และคนทั้งหลายต้องการประณามความประพฤติ  เช่นนั้น  และต้องการเห็นการลงโทษผู้ที่ประพฤติตนเช่นนั้น  ในฐานผู้ทำร้ายสังคม  ทำร้ายครอบครัวมนุษยฐานเป็นผู้คะนองกาย วาจา  ใจ  ไม่รู้จักสำรวมในกาม  มักมากในกามคุณ  และในฐานที่มีความประพฤติที่เป็นแบบอย่างในทางเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น  อย่างยุติธรรมที่สมกับความผิดของเขา  และเขาผู้ติดเชื้อเอดส์ก็สมควรจะได้สำนึกด้วยตัวเอง  และยอมรับความผิดอย่างหน้าชื่นตาบานของตัวเองยอมรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ  และนั้นก็คือ  อย่าหวังว่าจะได้ความเห็นอกเห็นใจจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย  และทางที่ถูกต้องเหมาะสม  พวกเขาควรจะได้มีที่อยู่ร่วมกัน  เป็นอีกสังคมหนึ่งต่างหาก  ขออย่าได้มาอ้างสิทธิ์อะไรในทางที่จะเสมอหน้าผู้อื่นอีกต่อไปเลย  ให้อยู่เป็นสังคมใหม่  คล้ายสังคมคนเป็นโรคเรื้อนในสมัยโบราณ  ให้พวกเขาปกครองกันเอง  และให้พวกเขานั้น  ทำหน้าที่เอื้อเอ็นดูต่อกันและกันเอง  นึกเสียว่า  ได้ตายไปจากสังคมมนุษย์แล้ว  ตั้งแต่เป็นเอดส์  เพราะสังคมเรา  ไม่มีเวลาพอที่จะเอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้คนที่ได้พิสูจน์ตัวแล้วว่าเป็นคนที่ทำตนไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  ต่อครอบครัวตัวเอง  และทั้งต่อสังคม  แม้กระทั่งประโยชน์ต่อตัวเองแท้ ๆ เขาก็ไม่คิดทำ  ไม่ว่าช่วงก่อนหน้าเป็นโรคเอดส์  และหลังเป็นโรคเอดส์แล้ว  กล่าวคือ  เขาเป็นผู้ที่ได้พิสูจน์ว่าเป็นบุคคลที่เกิดมาไร้ประโยชน์ใดใดโดยสิ้นเชิง  แม้แต่ประโยชน์เพื่อตัวของตัวเอง

 

ส่วนที่เราเอาใจใส่นั้น  ที่แท้จริงก็คือ  น้ำใจ  ส่วนที่มารับรู้ชีวิตหนึ่งที่เป็นเอดส์แล้ว  และได้มีแววในตาส่อให้เห็นซึ่งความสำนึกผิด  หรือสำนึกบาปของเขา  อย่าหวังเลยว่าจะมีน้ำจิตน้ำใจให้  ผู้ที่ยังแยกไม่ออกระหว่าง  ธรรม และ  อธรรม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ชีวิตนี้ยังมีหวัง เมื่อมาพบความสงบจากการฝึกสมาธิ

ช่อง  9 

วันอาทิตย์  25  ก.พ. 39  เวลา  08.00  น. 

 

นำวิธีปฏิบัติธรรมของนักธุรกิจ  ผู้ประสบผลสำเร็จในงานธุรกิจมาเสมอ  มีเจ้าตัวมาเล่าเรื่องความเป็นมา  คอยชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติธรรมและผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมและขั้นตอน ๆ  ตั้งแต่ต้นมา  จนถึงปัจจุบัน   พิธีกร  พยายามเน้นเข้าสู่สมมติฐานที่ตนตั้งเอาไว้  นักธุรกิจผู้นี้เคยเที่ยวเตร่ในสถานเริงรมย์กามโลกีย์มาก่อนอยู่ระยะหนึ่ง  ต่อมาได้พบแม่ชีมีความรู้ทางภาคปฏิบัติ  ได้มีโอกาสฝึกสมาธิจากแม่ชี  ท่านสอนให้นั่งสมาธิหลับตาบริกรรมคำว่า “ พุทโธ ”  ในชั้นเริ่มแรกได้พบ  ความนิ่งความสงบแห่งจิตใจ  คือสภาวะที่จิตมีที่พักพิงและจิตได้พัก  ซึ่งเป็นที่สบายปลอดโปร่งพอสมควร  การที่จิตเคยท่องเที่ยวไปโลดเต้นไปตามอำนาจแห่งโลกียะทั้งภายกามารมณ์และภายงานธุรกิจการเงินทำให้จิตใจปั่นป่วนรวนเร  ไหลไปทางนี้ทีทางนั้นที  ไม่มีเวลาหยุด  แม้กระทั่งเวลานอนก็ไม่มีการหยุด  เนื่องจากภาคส่วนแห่งมันสมองที่ต้องคิดไปตามอำนาจกิเลสในจิต  ทำให้จิตใจไม่เคยสงบ  แต่เมื่อมาฝึกหัดทำสมาธิโดยการนั่งหลับตาและภาวนาคำว่า  พุทโธ  อยู่เป็นประจำ  ทำให้จิตใจหยุดการไหลเทไปเทมา  และเริ่มหยุดการเที่ยวไป  และเมื่อมีการบริกรรมพุทโธเข้มเข้า  จิตก็เริ่มอยู่  และได้พักพิง  และจิตได้พัก  เขาไม่เคยพักมาก่อนจึงเป็นรสอันแปลกและวิเศษ  จนเกิดความปิติยินดี  น้ำตาไหล 

 

ได้ทราบจากครูว่า  นี่เป็นเพียงชั้นต้นเท่านั้น  เขาก็คิดบัญญัติไตรยางศ์เอาว่า  เพียงชั้นต้นก็มีความสุขเช่นนี้  ชั้นปลาย ๆ จะเพียงไหน  จากนั้นเขาก็คิดทำสมาธิให้มากยิ่งขึ้น  ก็ไปทดลองบริกรรมอยู่ทั้งวัน  เห็นกลุ่มหมอกปรากฏขึ้น  ก็กลัวผีหรือสิ่งร้าย ๆ โผล่ออกมาจากกลุ่มหมอก  คงจะนึกเหนื่อยตัวละ  ก็เลยเอาวิธีใหม่มาประกอบด้วยคือ  เอาเป็นพิจารณาสติ    ความรู้ตัวประกอบเข้าไปตามที่อาจารย์แม่ชีบอก  แต่ภาวนาพุทโธต่อไปยังไม่เลิก  วันหนึ่งก็ได้พบสัจธรรม  ได้ข้อคิดว่า  เมื่อเราติดนิสัยภาวนาพุทโธอยู่ตลอดเวลา  คอยแต่ระวังสติอยู่ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร  คิดอะไรแล้ว  ก็ไม่สามารถจะทำธุรกิจประจำวันได้  เพราะธุรกิจประจำวันดำเนินไปด้วยการพูด  จำเป็นต้องพูดเจรจาความทางการค้า  การธุรกิจ  อยู่ตลอดเวลา  หากมัวแต่ภาวนาพุทโธอยู่ก็ทำธุรกิจไปไม่ได้  นี่ก็เป็นความจริงละ  แม่ครูจึงบอกให้ไปทำวิปัสสนากรรมฐาน  ก็เลยปลีกไปวิเวกจริง ๆ ที่เขาเขียว  บางครั้งไปวิวเวกถึง 7 วัน  ได้รับความสุขสงบมาก  แต่พอออกมาสู่โลกภายนอกเหมือนเดิมก็รู้สึกว่าอยู่ยาก  เพราะเสียงอะไรต่าง ๆ รบกวนไม่เหมือนอยู่ป่าอยู่เขาก็มาคิดสงสัยต่อไปอีกว่า  ถ้าผลเกิดขึ้นแบบนั้น  คือที่ชอบความสงัดสงบแบบนั้นก็เป็นแต่เพียงได้นิสัยหนึ่งเท่านั้นเอง  ซึ่งนิสัยอันนี้ก็จะไม่สามารถช่วยอะไรเราได้ในทางธุรกิจ  เพราะชอบวิเวกเสียจนไม่สามารถจะอยู่ในโลกของคนธรรมดาทั่วไปอยู่กันได้กลับจะกลายเป็นคนอีกพวกหนึ่งที่อ่อนแอเกินไปกว่าเดิมและที่สำคัญธรรมะแบบนี้ก็ไม่เห็นจะช่วยให้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้  กลับจะเป็นอันตรายที่ไม่สามารถช่วยให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมคนทั้งหลายได้  นักธุรกิจผู้นี้จึงสรุปผลการฝึกธรรมปฏิบัติของตนได้ว่า  ธรรมที่ให้คุณประโยชน์จริง ๆ น่าจะทำให้  สามารถอยู่ได้แม้ในสถานที่มีความสงบสงัดจริง แม้สถานที่วุ่นวายอึงคะนึงในโลกีย์ก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข  เรื่องราวของนักธุรกิจจบลงตรงนี้  จบลงตรงสมมติฐานอันใหม่ที่ว่าด้วยผลอันพึ่งพอใจของนักปฏิบัติธรรมควรจะเป็นไปอย่างไร  และไม่มีรายงานว่าเขาได้ประสบความสำเร็จแล้ว  ตามสมมติฐานใหม่ที่ว่า  ธรรมจะสามารถช่วยให้มีความสุขได้แม้ในขณะใช้ชีวิตอยู่ในวงการธุรกิจประจำวันแม้ไปอยู่เดี่ยวปลีกวิเวกไปก็ตาม

 

คำตอบก็คงยังไม่สำเร็จหรอก  แต่นักธุรกิจผู้นี้  ได้มีความเฉลียวฉลาดเฉพาะตนทำให้พร้อมด้วยทั้งความศรัทธาและปัญญาประกอบกันเสมอไป  ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ทำให้รับคำสอนคำสั่งง่ายเมื่อปฏิบัติเกิดผลอย่างไร  ยังไม่ยอมเชื่อว่าดีก่อน  เป็นคน  ที่ไม่ยอมอะไรง่าย ๆ เป็นผู้รู้วิเคราะห์ซึ้งเหตุและผลดี  และทั้งรู้วิธีการสร้างสมมติฐานที่ถูกต้องในเรื่องธรรมะ  เหมือนคนที่ฉลาดน้อยทั่ว ๆ ไป  ฉะนั้นจึงนำเขาผ่านอันตรายมาสู่ข้อสมมติฐานอันล่าสุดได้  คือข้อสมมติฐานที่ว่า  ธรรมนั้นให้ประโยชน์จริง ๆ จะต้องสามารถให้คนอยู่ได้อย่างมีความสุข  ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหนในป่าหรือในเมืองก็ไม่สำคัญ  กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ 

 

ถ้าเป็นเรื่องราวของพระอริยบุคคลก็คิดในทำนองนี้ว่า ถ้าศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลออกมา  ให้เป็นเพียงคนอ่อนแอที่อยู่ในสังคมโลกเขาไม่ได้  ต้องปลีกหนีไปอยู่ผู้เดียวในป่า  และใช้ชีวิตอยู่แต่ในป่าหรือที่สบาย ๆ เงียบ ๆ ไม่ต้องทำการงานอะไรแล้ว  การศึกษาธรรมเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร? จะเป็นพระอริยบุคคลหรืออรหันต์ได้อย่างไร?   แต่ความเชื่อของคนมาแต่เดิมมักจะเชื่อกันเช่นนั่นจริง ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้  หากพูดกันว่าพระอรหันต์อยู่ในกลางใจเมืองกรุงเทพฯ  ก็ดูจะไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเป็นสิ่งที่อาจเป็นจริงได้  เพราะคนเคยคิดแต่ว่า  ขึ้นชื่อว่าพระอรหันต์แล้วมีหรือจะอยู่เมืองที่วุ่นวาย มีแต่อยู่ป่าเท่านั้น  แต่นั่นแหละเป็นข้อสมมติฐานที่น่าคิดน่าเป็นไปได้  หากคิดถึงธรรมะในแง่คุณประโยชน์ธรรมะแท้จริงต้องสามารถสร้างคุณสร้างประโยชน์ให้ทั้งแก่ปัจเจกบุคคลและสังคมโดยส่วนรวมได้  จึงจะเรียกว่าธรรม  แต่ความรู้เชิงสมมติฐานเช่นนี้  กว่าจะได้รู้ก็เป็นเวลาที่ได้ผ่านประสบการณ์ชั้นสำคัญมามากแล้วจึงเป็น  ข้อที่น่าคิดเป็นอย่างมากว่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมระดับสูงนั้นยังคงมีเรื่องที่ประหลาดเกินความคาดเดาของคนทั่วไปอยู่อีกมากมาย  เช่นแม้แต่ข้อสมมติฐานที่ว่านี้  คือที่ว่าธรรมที่ให้ประโยชน์จริง ๆ จะต้องให้คนอยู่ได้อย่างมีความสุข  ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน  ในป่าหรือในเมืองนั้น  ก็ใช่ว่าเป็นถ้อยคำที่ถูกต้องแล้วทั้งหมดสิ้นเชิงก็หาไม่  แต่หากยังคงมีสิ่งที่เรียกว่าข้อยกเว้น  เพราะในตัวทฤษฎี  แห่งปริยัติศาสนาได้มีสิ่งที่เป็นทางเปิดออก  หรือรูรั่วที่มีลักษณะเป็นข้อยกเว้น  อยู่เสมอไป  หรือจะกล่าวอีกอย่างว่าปริยัติศาสนานั้น  ล้วนเป็นไปด้วยข้อยกเว้นกำกับไปทั้งหมดทั้งสิ้น  แต่ดูเหมือนความลับทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะถูกเปิดเผยเฉพาะแด่ผู้รู้แล้วเท่านั้น  และดูเหมือนว่าด้วยเห็นนี้จึงทำให้ท่านเหล่านั้นยากที่จะกล่าววิธีธรรมปฏิบัติอันสูงสุดใดออกมาโดยชัดเจนเป็นสูตรเป็นทฤษฎีหรือปริยัติอันตายตัวได้    แต่แม้ว่าในขณะเดียวกันก็อาจกล่าววิถีธรรมปฏิบัติออกมาได้อย่างหลายหลากมากมายของวิธีการที่บรรลุมรรคผล  ซึ่งแต่ละวิธีในความหลากหลายนั้นก็อาจบรรดาลผลสำเร็จได้ถึงชั้นสุดยอดไม่น้อยกว่าวิธีใดใดอื่นเลยเช่นกัน  แต่โดยทฤษฎีแห่งปริยัติศาสนาของ “ ศาสนาพุทธ”  เคล็ดลับได้แฝงอยู่ที่ชี่อแห่งศาสนานั่นเองผู้ใดอุตสาห์บริกรรมภาวนาชื่อพระพุทธศาสนาอยู่ทั้งปีทั้งชาติ  แต่มิได้ใช่สติปัญญาวิเคราะห์  ไม่ขวนขวายอย่างถูกทาง  ก็ย่อมไม่ได้ประโยชน์อันสูงสุด  เพราะแท้ที่จริงเคล็ดลับอันเห็นได้ชัด ๆ เจน ๆ ก็คงเป็นข้อสรุปประโยคสั้น ๆ อันน่าจะเป็นสุดยอดแห่งปริยัติศาสนาสำหรับยุคนี้  ว่า

  “ จงอย่าขวนขวายในการปฏิบัติสมาธิบริกรรมใดให้ยุ่งยากลำบากไปเลยยุคคนฉลาดพึงขวนขวายในการที่จะใช้สติปัญญา  มันสมองความนึกความคิดเพื่อการตรัสรู้เองโดยชอบเถิด” [ เคล็ดลับคงอยู่ที่คำว่า “ ตรัสรู้ ”  ซึ่งก็คือคำว่า “ รู้ ” นั่นเองกระมัง! เพราะศาสนาพุทธ  แปลว่า ศาสนาผู้รู้  “ พุทโธ ”  แปลว่า  “ ผู้รู้ ”  อย่าไปมัวแต่บริกรรม  พุทโธ  อยู่เลย  แต่จงขวนขวายพินิจพิจารณาว่ารู้  รู้  รู้  อะไร ?  และอย่างไร ? เอาให้แจ้งชัดตรงนี้  จึงจะ  รู้  หรือ  ตรัสรู้ ]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว วิเคราะห์เจ้าแม่กวนอิมและพระอนุตรธรรม

วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

วันอาทิตย์ที่  24 มีนาคม  2539  เช้า  06.20  น. 

 

รายงานข่าวจาก  จ. ระยอง  ว่าฝนตกนิดหน่อย  เหมือนน้ำมนต์เทวดาพรมลงมา  ฉลองเจ้าแม่กวนอิม แล้วโฆษณาวัตถุมงคลเจ้าแม่กวนอิม ว่าคนแห่มาจับจอง ซื้อไปบูชาแน่นขนัด  จะเผยแผ่วัตถุมงคลเจ้าแม่ออกไปให้ทั่วประเทศ  ที่ระนองนี้  ดูเหมือนได้ข่าวประชาสัมพันธ์โฆษณาว่ากำลังสร้างรูปปั้นเจ้าแม่สูงใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ดูเหมือนจะสร้างที่ทะเลระนองนี่เอง  ขณะเดียวกัน  มีขบวนการเผยแผ่ธรรมะของเจ้าแม่กวนอิม  ในภาพที่สุดสวยคือ  โพธิสัตว์ผู้หญิง  ที่เปี่ยมด้วยเมตตา  อ้างว่า  ยุคพระโพธิสัตว์กวนอิมมาถึงแล้ว  ยุค  2500  ปี  แห่งสมณโคดมพุทธเจ้ากำลังจะผ่านไป  พระธรรมก็เรียกเป็น  “ พระอนุตตรธรรม ”  เพื่อให้ต้องตามคำทำนายโบร่ำโบราณ  ที่ออกนาม

 “ พระอนุตตรธรรม ”  ไว้  ก็เผยแผ่   “ พระอนุตตรธรรม” ออกไปอย่างกว้างขวาง

 

แต่ ! พระอนุตตรธรรม  คืออะไร  ? พระโพธิสัตว์คืออะไร ?   ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเผยโฉมมาเช่นนั้น  บทบาทเช่นนั้น?  บทบาทที่แสดงว่าพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่รู้ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร  แม้ภัยอันตื้น ๆ  ที่จะก่อผลเสียหายต่อ “ พระอนุตตรธรรม ” เองก็ยังมองไม่เห็น  มีการแสวงหารายได้กันใหญ่ด้วยการโฆษณาขายวัตถุมงคลของเจ้าแม่  โน้มน้าวใจคนด้วยการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สารพัดจะอ้างเพื่อขายวัตถุมงคล  อ้างประชามหาชนว่าคนบูชาแน่นไปหมด  ซึ่งยังมีทีท่าว่าจะขยายออกไปทั่วประเทศและยังไม่ทราบว่านี่เป็นรุ่นที่เท่าไร  จะมีมาอีกกี่รุ่น ๆ  เพราะดูท่ารุ่นรุ่นวัตถุมงคลเจ้าแม่กวนอิมนี้  คงมีเหลือคณานับ  ยิ่งกว่ารุ่นของเกจิอาจารย์ดัง ๆ หลายเท่า  เนื่องแต่  ประวัติกวนอิมโพธิสัตว์  ล้วนแต่พิสดาร  เอามาเล่าให้ฟังเป็นภาค ๆ เป็นตอน ๆ  แต่ละตอนล้วนทรงอภินิหาร  น่าเลื่อมใส  เช่นที่เล่าให้ฟังวันนี้  ภาคจำแลงเป็นหญิงสาว  ไปหลอกชายหนุ่ม ๆ ก็คงจะกลายเป็นรุ่นวัตถุมงคล  ที่มีอภินิหารทางมหาเสน่ห์ออกมา  แล้วตามกันออกมาเป็นรุ่น ๆ ตามประวัติแต่ละตอน ๆ นั่นแหละที่แสดงเจตนาหวังลาภหวังกอบโกยกันเท่านั้นจริง ๆ   และเหตุผลเช่นนี้เองหรือคือการสนองเจตนารมณ์ของ  ผู้ที่ได้ชื่อว่า  พระโพธิสัตว์ 

 

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวจะพูดออกมา  นั่นก็คือคำกล่าวที่ว่า  ยุด  พระพุทธเจ้าสมณโคดมกำลังจะผ่านไป  ยุคใหม่คือ  พระโพธิสัตว์กวนอิม  กำลังจะผ่านเข้ามาแทน  นั้น  น่าจะบอกว่า  กล่าวด้วยโลภเจตนาแท้จริงเพราะ  คำพูดทำนองนี้  มิได้บอกสำนึกแห่งความชอบธรรมใดใดเลย  และทั้งไร้เหตุผลในการกล่าวโดยสิ้นเชิง  เพราะทุกวันนี้  พระพุทธศาสนาในเมืองไทยก็ยังตั้งมั่นอยู่  พระรัตนตรัยพร้อมทุกรัตนะ  ประชาชนชาวไทยก็มิได้รู้สึกว่าศาสนาพุทธ  โดยองค์บรมศาสดาพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานไปนานแล้วจะได้ประสบภัยพิบัติร้ายแรงอันใดอย่างไร  จนต้องรู้สึกว่าศาสนาพุทธกำลังจะล้มละลายสูญหาย  จนต้องกล่าวคำว่า  “ ยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมกำลังจะผ่านไป”   ชาวไทย  หรือชาวพุทธทั่วโลกมิเคยรู้สึกถึงเหตุการณ์เช่นนั้น

 

ฉะนั้น   คำกล่าวที่ว่า  ยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมกำลังจะผ่านไป  ยุคใหม่คือ  พระโพธิสัตว์กวนอิมกำลังจะออกมาแทน    จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ชอบธรรม   ไร้เหตุผล   และไร้หลักฐานทางศาสธรรมให้อ้างอิงทั้งสิ้น  จึงเห็นได้ว่า  ขบวนการกวนอิมโพธิสัตว์ได้แสดงออกว่า  ไม่สุจริต  มีลำ  เจตนาอย่างเห็นได้ชัดเจน   และการกล่าวอ้างว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม  นั้นดูตื้นเขินไป  เพราะเป็นคำที่ไม่เหมาะสมกับสติปัญญาแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์  คำพูดที่บ่งบอกสติปัญญาอันตื้นเขินเช่นนี้ถูกอ้างอิงว่าเป็นของพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง    ย่อมเป็นการตู่  ลบหลู่ภูมิปัญญาของสถาบันพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง  ย่อมเป็นการไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง     การอ้างว่าสิ้นยุคพระพุทธเจ้าแล้วนั้น  ถือว่าเป็นคำพูดที่หลบหลู่พระรัตนตรัยหรือหลู่พระพุทธศาสนาได้  อนึ่ง  ด้านสัจธรรมเอง  พระโพธิสัตว์กวนอิมหากเข้าถึงธรรมแล้ว  ก็ย่อมเป็นหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติด้วย  ไม่เป็นสอง  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์ทั้งหลายหากเข้าถึงธรรมแล้ว  ย่อมไม่กล่าวว่า  เป็นขององค์นั้นองค์นี้  แต่ย่อมกล่าวว่าเป็นสากล  คืออันหนึ่งอันเดียวกัน  ไม่มีของใคร ๆ นี้ก็เป็นสัจธรรมชั้นสูง  ผู้อ้างตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์แต่ไม่เข้าใจเช่นนี้ก็คือของเก๊เท่านั้นเอง  หาใช่ของจริงไม่

 

อนึ่ง       ในแผ่นดินศาสนาพุทธไทยทุกวันนี้  ได้ปรากฏขบวนการทางศาสนากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าผ่านเข้ามา  แทบว่าเป็นรายวัน  ล่าสุดได้พบขบวนการถือศีล  กินเจ  แทรกซึมไปตามโรงเรียนชั้นมัธยม  และทั้งวิทยาลัยอาชีวะต่าง ๆ ชักชวนนักเรียนให้ไปถือศีลปฏิบัติธรรม  กินเจ  แล้วมักพูดถ้อยคำสำนวนเช่นที่พูดนี้  คือพูดว่ายุคพระพุทธเจ้าสิ้นแล้ว  ยุคพระโพธิสัตว์กวนอิม  กำลังเข้ามาแทน  มีหนังสือแจก  และเป็นคู่มือ  เช่นหนังสือ “ กวนอิม  พระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ ”  ซึ่งมีคำนำที่ค่อนข้างน่าฉงนว่า

 

“พระโพธิสัตว์นั้น  แม้จำกำหนดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  และจะเสด็จเข้าสู่พระนิรพาณแล้ว ก็ดี   แต่ก็ยังไม่ยอมเข้าสู่พุทธภูมิ   จนกว่าจะได้ช่วยสรรพสัตว์  ซึ่งตกอยู่ในกองทุกข์ให้พ้นได้หมดเสียก่อน”  พระโพธิสัตว์ในที่นี้  ท่านก็หมายถึง  พระกวนอิม  หรือชื่อที่ไพเราะ  อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์  นั่นเอง

 

สิ่งที่น่าฉงนก็คือถ้อยคำที่ว่า  “ ยังไม่ยอมเข้าสู่พุทธภูมิ  จนกว่าจะได้ช่วยสรรพสัตว์  ซึ่งตกอยู่ในกองทุกข์ ให้พ้นไปได้หมด เสียก่อน”

 

เพราะน่าจะเป็นเพียงคำเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ  หรือคำโฆษณาชวนเชื่อของคนธรรมดา    คนหนึ่ง  ที่ไม่ได้รู้ธรรมะอะไรเลยด้วยซ้ำไป  ไม่ควรที่จะอ้างว่าเป็นปณิธานของพระโพธิสัตว์  ซึ่งหมายถึงผู้ทรงภูมิธรรมสูงอยู่ในระดับพระอริยบุคคลทั้งหลาย   เนื่องจากตามความจริงแล้ว  ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่สามารถสอนคนทั้งหมด  ในโลก  ในทวีป  ในเมือง  ในสังคม ในบ้าน  หรือในที่ไหน ๆ ก็แล้วแต่  ให้บรรลุพระอรหันต์ได้หมดทุกคน  แม้ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมเอง  ก็ยังไม่อาจทรงโปรดน้องชายต่างมารดาของพระองค์ท่านคือ  พระเทวทัต  ได้  ทั้ง ๆ ที่ได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว

 

แต่เหตุผล     มิได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์  เหตุผลอยู่ที่  พระอริยสัจธรรมว่าด้วยโลกและสรรพสิ่ง  อันผู้ได้ตรัสรู้หรือรู้ธรรมแล้ว  ย่อมจะทราบว่า  โลกเป็นธรรมดาอย่างไรบ้าง  พระโพธิสัตว์องค์นี้พูดขัดความเป็นธรรมดาอย่างไร  นั่นต่างหาก

 

ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ใดที่พูดว่า  “ จะยังไม่ยอมเข้าสู่พุทธภูมิ  จนกว่าจะได้ช่วยสรรพสัตว์  ซึ่งตกอยู่ในกองทุกข์ให้พ้นไปได้หมดเสียก่อน”     นั้นก็คือคำพูดที่บอกว่า  ท่านยังไม่รู้ธรรมะ  ยังไม่รู้แจ้งความเป็นธรรมดา  เป็นคำพูดที่มีความหมายอันเดียวกันกับคำพูดต่อไปนี้  คือ “ อันข้าฯ พระโพธิสัตว์องค์นี้หายังรู้ธรรมเกี่ยวกับโลกและสรรพสิ่งไม่  อันข้าฯ ก็คือคนโง่เง่าเต่าตุ่นคนหนึ่งแท้ ๆ อย่าได้ถือสาข้าเลย  ”  นั่นเอง  และการที่พระโพธิสัตว์องค์นั้นยังไม่เข้าพุทธภูมิเสียทีนั้น  อย่าหลงเข้าใจผิดไปว่า  เพราะทรงมีเมตตามาก  หากแต่แท้จริงยังไม่มีภูมิธรรมสูงพอ  ไม่มีบารมีพอจะตรัสรู้ธรรมต่างหาก  หากมาอ้างว่า  เพราะมีเมตตามาก  ต้องอยู่ช่วยมนุษย์คนสุดท้ายให้รอดเสียก่อน  ก็คงมิต่างกันกับบุคคลผู้เขลา  โง่แล้วอวดดี  อาสากระทำสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้  เหมือนจะเปลี่ยนทางโคจรของดวงตะวันนั่นเอง

 

 

พุทธานุภาพ  พระโพธิสัตว์กวนอิม

 

ในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง  ชื่อว่า  “พุทธานุภาพ  พระโพธิสัตว์กวนอิม” 

คำว่า  “ พุทธานุภาพ”  ยกตนว่า  ได้ตรัสรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว  แต่ไฉนยังไม่รู้ธรรมะว่าด้วยกฎธรรมดาโลกอยู่อีกยังพร่ำเพ้อว่าจะอยู่ช่วยมนุษย์คนสุดท้ายให้ข้ามโอฆสงสารให้ได้อยู่อีก  นั้นเป็นการขัดกันเอง  กลายเป็นเรื่องตลกน่าหัว  และน่าสมเพชยิ่งนัก

 

ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งก็คงจะเข้าใจได้ว่า  เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  จึงไม่อาจช่วยคนได้ทั้งโลก  โดยแม้ใช้เพียงสามัญสำนึกธรรมดา ๆ

 

 

ท่องพุทธาลัย

 

เล่มต่อไป  ชื่อว่า  “ท่องพุทธาลัย”  ในเล่มนี้ใช้คำสับสนไปหมดบางคำก็ใช้เกินไป  เช่นคำว่า  “ ธรรมญาณ”  ใช้คำว่า  “ญาณ”  คำเดียวก็พอ  ถ้ารู้ความหมายก็เกินพอเสียเสียอีก  บางทีก็

 “ ชีวิตญาณ ”  เลยกลายเป็นรูปผสมคำ   ที่ไม่รู้ความหมายอะไรเป็นอะไรไปเสียแล้ว

 

คำ  “ พระพุทธะอริยเจ้า”  ยาวไป  ใช้  “ พระอริยเจ้า”  ก็พอ ความหมายชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ใส่ พระพุทธะ  เข้าไปทำไม

 

มีประโยคที่พูดถึงพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง  คือพระศรีอาริย์  พูดว่าดังนี้

“ พระศรีอาริย์  โปรดเก็บทุกดวงจิตชีวิตญาณที่ดีงามทั้งสามโลก  เพื่อเตรียมการสร้างโลกใหม่” (ไม่แสดงความหมายแห่งธรรมแต่อย่างใดเลย) พระศรีอาริย์  ก็เลยกลายเป็นเทพเจ้า  เช่นพระอิศวร  นารายณ์  ไปไม่มีคำไหนที่บอกว่าเป็นคติพุทธธรรม  อย่างวิทยาศาสตร์การศาสนาเลย

 

บทสนทนา  คล้าย  ๆ ยี่เกไทย  เล่นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เช่น

“พระบรรพพุทธาทะเลใต้ (พระโพธิสัตว์กวนอิม) กราบสนองพระแม่อนุตตรบัญชา  ลงมายังตำหนักฯ  กราบคารวะพระแม่ฯ  แล้ว ”  (หมายเกตุ  หนังสือเล่มนี้  เขียนโดยคนสติไม่ธรรมดา)

 

 

97  พระโอวาทจากพระอาจารย์

 

หนังสือเรื่อง  “97  พระโอวาทจากพระอาจารย์ ”  อาจารย์อะไร?  “จี้กง”   ในหน้าตัน ๆ  มีถ้อยคำชวนให้ไขว้เขวอย่างน่าเวียนหัว  เช่นท้ายคำนำ  บอกว่า  “โปรดประทานเมื่อเดือนตุลาคม  พ.ศ. 2535  ณ ตำหนักพระประเทศไทย” ชวนให้เข้าใจว่า  พระอาจารย์มาเข้าทรงบอก  โอวาท  97 ข้อ  แต่ไม่มีคำอธิบายให้กระจ่างว่าจริงเช่นที่เข้าใจหรือไม่  พระอาจารย์จี้กง  มาเข้าทรงจริงหรือ  ?  ฟังเสียงว่า  จี้กง  เป็นพระอรหันต์แต่แล้วมาเข้าทรงได้อย่างไร  ไขว้เขวจริง ๆ

 

แต่ในเนื้อเรืองในหนังสือ  โอวาททั้ง  97  ข้อ  นั้น  ดูเป็นถ้อยคำของจินตกวีมากกว่าจะเป็นอริยสัจธรรม  ไม่ได้มีเนื้อหาตรงไหนที่ล้ำลึกสมเป็นถ้อยคำของพระอรหันต์  เพราะที่จริงก็คือ “ กลอนเปล่า”  หรือกลอนร้อยแก้วไม่น่าจะเป็นของพระอาจารย์ด้วยซ้ำ  เพราะมีถ้อยคำที่มีลักษณะเพ้อ ๆ  คือ สติมิได้จับความหมายขณะเขียน มากมายหลายคำ  เต็มไปหมดทั้งเล่ม

 

เช่น  “ธรรมธาตุ”  อะไรคือธรรมธาตุ ? เป็นอริยสัจธรรมอย่างไร? “   “ จะไม่ให้ฟ้าเบื้องบนทรงพิโรธได้อย่างไร ”     นี่ก็เพ้อ ไม่ใช่คติพุทธ แล้ว

 

เพราะอาจารย์จี้กงนี้ จะให้เชื่อให้ได้ว่า  พระพุทธเจ้า  พระอรหันต์ทั้ง

หลายในขณะนี้มิได้ไปไหน    ยังคงอยู่บนสวรรค์นั้นเอง    และคงคิดว่าตัวเองเป็น

พระอรหันต์กับเขาด้วย

 

 

สัตบุรุษ

 

หนังสือเล่มต่อไปชื่อว่า  สัตบุรุต   เป็นหนังสือมีสำนวนเพ้อๆ แบบที่ได้พบในหนังสือเล่านิทานทั้งหลาย นั่นเอง  อันเป็นเรื่องที่เขียนออกมาจากมโนภาพที่หลัวๆ ในห้วงความคิด ซึ่งหลายถ้อยคำ หรือประโยค แม้ผู้เขียนเอง ก็จะไม่รู้ด้วยช้ำว่าหมายถึงอะไร เข้ากับคำกล่าวว่าผู้เขียนเอง ก็จะไม่รู้ด้วยช้ำว่าหมายถึงอะไร  เข้ากับคำกล่าวว่าคนเขียนก็ไม่รู้ว่าเขียนอะไร คนอ่านก็ไม่รู้ว่าอ่านอะไรเหมือนกัน

 

จริงอยู่ มีคุณความดีอยู่ในนั้น แต่ระดับปรมัตถศาสนาแล้ว หนังสือเหล่านี้  ได้นำทางไปนอกลู่นอกทางศาสนาวิทยาศาสตร์ น่าคิดว่าหากเผยแพร่ความเชื่อเช่นนี้ออกไปมากๆ  จะไปก่อปัญหามงคลตื่นข่าวมากขึ้นซึ่งหมายความว่า   หนังสือหรือศาสนาเช่นนี้ ไม่เหมาะแก่สังคมในยุคโลกาภิวัตน์ ยุคที่เจริญด้วยวิทยศาสตร์และเทคโนโลยีสูงสุด

 

ข้อสังเกตเล็กน้อย ๆ แต่มีความหมายเหล่านี้ ทำให้น่าติดตามว่าขบวนการกวนอิมโพธิสัตว์ นี้ มีเป้าหมายและวิธีปฏิบัติงานอย่างไร ? เมื่อตายังมืดอยู่ยังมีใฝฝ้าราคีบดบัง ก็คงต้องค่อยเรียนรู้จากประสบการณ์ต้องผ่านตัวอย่างแห่งความเจ็บปวดเสียก่อน จีงจะรู้คุณค่าแห่ง ความมีปัญญา และพระธรรมอันเป็นบรมธรรม  ที่มีอยู่อย่างสมบรูณ์แล้ว  ในศาสนาพระพุทธเจ้า นี้

 

 

 

 

 

                                               

 

 

 

 

 

 

 

 

 ทีวิทุกช่อง  วิทยุทุกเครือข่าย

10      มีนาคม พุทธศักราช   2539

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ   สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

(สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย 

ผู้ทรงพระจริยาวัตรอันเป็นแบบฉบับแห่งพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง

แห่งพระพุทธศาสนธรรม)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว ชิงแชมเปี้ยนโลก  ที่ศรีสะเกษ รัตนพล vs คัสติลโญ่

หนังสือพิมพ์

15-16 มี.ค. 2539

 

ไอ้โบ้โวลั่นตะบันคัสติลโญ่คาเขียงยก 4

“ทางด้านผู้ท้าชิง.. ถึงอย่างไรก็ตามตนมีความมั่นใจว่า พระเยซูเจ้า

จะต้องเข้าข้าง  ให้ตนได้รับชัยชนะในไฟต์นี้แน่นอน”

 

“แชมป์โลกชาวไทยได้กล่าวถึงการขึ้นชกป้องกันตำแหน่งไฟต์ที่  13  ว่าการขึ้นชกคราวนี้มีความสำคัญมาก  เพราะเป็นไฟต์ที่ 13 ซึ่งหลายคนเกรงว่าจะเกิดอาถรรพณ์ แต่ตนก็ได้เตรียมรับมือมาเป็นอย่างดีด้วยการฟิตซ้อมหนักตลอดระยะเวลา 2 เดือน  และเชื่อว่าการชกคราวนี้จะไม่ครบยกโดยมีความมั่นใจว่าคัสติลโญ่ไม่รอดเกิน  4  ยกซึ่งจะเป็นของขวัญสำหรับพี่น้องชาวศรีสะเกษรวมทั้งพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศด้วย” (จาก ข่าวสด  16 มี.ค. 39) “ ไอ้โบ้” ชัวร์ป้าด  ส่งคัสติลโล ลงเปล รับรองอัดกันสนุกใครโดนก่อนจะร่วง

 

ข่าว“รัตนพล-คัสติลโล “  รัตนพลไปถึงเมืองศรีสะเกษ เข้ากราบพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เอาฤกษ์เอาชัยทันที ก่อน  รมต. ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ พาขึ้นรถตั้งขบวนแห่ไปรอบเมือง ชาวจังหวัดศรีสะเกษร่วมเฮไปตลอดทางเป็นที่ครึกครื้น แชมป์โลกชาวไทยยาหอมทันที  ขอชกให้สะใจชาวเมือง วันสุกดิบก่อนชั่งน้ำหนักลดกันเต็มที่ มั่นใจผ่านได้สบายเช่นเคยแม้อากาศจะร้อน  แต่ผู้ท้าชิงก็ไม่หวั่น  บอกพอๆ กับที่บ้าน ยืนกระต่ายขาเดียวต้องน็อครัตนพลได้แน่  วันที่ชก15 มี.ค. 39  ช่อง  7  สี  จะถ่ายทอดสดเวลา  16.45 น. เป็นต้นไป ต่อมา ไอ้โบ้ รัตนพล ดัทซ์บอย ยิม ก็ได้เข้ากราบสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่หน้าศาลากลาง และเติมทางไปสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก่อนที่จะขึ้นรถตั้งขบวนแห่ไปรอบเมือง  ซึ่งตลอดทางก็ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองโบกมือทักทาย  บ้างก็เข้ามาจับไม้จับมืออย่างสนุกสนาน

 

แชมป์โบกชาวไทยได้เปิดเผยว่า   ก่อนมาศรีสะเกษตนฝันดีมาก รับรองต้องชกให้สะใจชาวศรีสะเกษ  มั่นใจต้องน็อกได้แน่  เผลอ ๆ จะเป็นยกที่ 4 ด้วยซ้ำ   ด้านน้ำหนักตัวนั้น  รัตนพลกล่าวว่า  ยังเกินอยู่เล็กน้อย  ช่วงนี้ต้องลดเต็มที่  เพราะจะขึ้นช่างแล้วในวันรุ่งขึ้นคงไม่มีปัญหาผ่านได้แน่นอนเหมือนทุกครั้ง”  (จาก ไทยรัฐ 16 มี.ค. 39 )

 

เข็มขัดมึงหายไปไหน  พ่อคูณถาม

โบ้  ร่ำไห้ ตาชั่งน็อก  โทรฯไปถามกลางดึกก่อนขึ้นชก 

หลวงพ่อคูณ ต่อสายตรงถึงศิษย์รัก ไอ้โบ้ [ รัตนพล] ถามเข็มขัดแชมป์โลกมึงหายไปไหน  ก่อนสั่งลุยมึงต้องชนะมันให้ได้  หลังได้ข่าวตาช่างน็อกจนเข็มขัดกระเด็นจากเวที

ไอ้โบ้ชั่งไม่ผ่านพิกัด 105 ป. พอดี  ทั้ง ๆ ที่ตอนทดสอบทำน้ำหนักได้ไม่มีปัญหา  ตามข่าวว่า

“ เวลาประมาณ 20.30 น. วันที่  15 มี.ค. หลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ  เกจิ  อาจารย์ชื่อดังแห่งภาคอีสาน  เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่  อ.ด่านขุนทด  จ.นครราชศรีมา  ได้ให้เลขานุการส่วนตัวโทรศัพท์ติดต่อมายังห้องพักของรัตนพล  ภายหลังทราบข่าวศิษย์รักเข็มขัดแชมป์โลกกระเด็นจากโทรทัศน์”

“ทันทีที่อดีตแชมป์โลกขวัญใจชาวไทยรับสาย  หลวงพ่อคูณถามศิษย์รักทันทีว่า “ไอ้โบ้เข็มขัดมึงไปไหน”   นักชกลูกศิษย์คนโปรดของหลวงพ่อคูณตอบว่า “เข็มขัดหายไม่มี  ผมแพ้เราะชั่งน้ำหนักไม่ผ่าน” เกจิอาจารย์แห่งวัดบ้านไร่เลยสั่งสอนว่า  “ไม่เป็นไร  พรุ่งนี้มึงต้องเอาชนะมันให้ได้  ถ้ามีโอกาสกูอาจจะแวะไปดูเพราะมึงชกใกล้ ๆ นี้เอง” ชั่งครั้งที่ 19”ตัวเลขบนจอหยุด ลงที่เลข 106.18 ปอนด์ “ (จาก ข่าวสด  17  มี.ค. 39)

 

“พ่อคูณ” ถามโบ้ เข็มขัดไปไหน  ให้พยายามเอากลับ  “เป็ด”ครวญขาดทุนยับ

อดีตแชมป์โลกชาวไทย บอกเป็นงง  น้ำหนักตัวทำไว้อย่างดีแล้ว จึงไปนอนพักผ่อนแต่ตื่นขึ้นมากลับเพิ่ม ไปลดใหม่ก็ลดไม่ได้  หลังจากต้องทรมานอยู่ถึง 2 ชั่วโมง       บริล  เบรนนัล  ชาวสหรัฐชั่งน้ำหนักเวลา 17.00 น.(จาก ไทยรัฐ 17  มี.ค. 39  ไอ้โบ้ไปขอขมาหลวงพ่อโต ไม่ได้ไปไหว้เลยเสียแชมป์)

 

“ไอ้โบ้” ไปขอขมาหลวงพ่อโต

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการชั่งน้ำหนัก  เมื่อเย็นวันที่  15 มี.ค. ที่ผ่านมาทำให้ “ไอ้โบ้” ทำน้ำหนักไม่ได้ ต้องสูญเสียเข็มขัดโลกรุ่นจุเนียร์ฟลายเวทบนตาชั่ง ดังเป็นที่ทราบกันแล้วนั้น มีชาวศรีสะเกษมาบอกทางฝ่ายรัตนพลว่า  ได้ไปกราบไหว้หลวงพ่อโต  ที่วัดพระโต หรือ วัดมหาพุทธาราม  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองหรือไม่  เพราะทุกครั้งที่ข้าราชการมารับราชการที่ศรีสะเกษ ต้องมาไหว้หลวงพ่อโตก่อนเสมอ  แต่การมาศรีสะเกษของรัตนพลเมื่อวันที่ 14 มี.ค. นั้นไม่ได้ไปไหว้หลวงพ่อโต ดังนั้นในตอนเช้าวันชกเวลา 07.30 น. รัตนพลจึงได้ไปไหว้ขอขมาหลวงพ่อโต  ที่วัดพระโต  ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เผยเห็น“ย่าโม”ในดวงตา  เป็นเด็กโคราช ก่อนการชกทุกครั้งจะว่า “ ไชโย ไชโย ย่าโมออกศึก”  ครั้งนี้ก็เห็นรูปย่าโมปรากฏขึ้นในนัยน์ตาข้างขวาทันที (จาก เดลินิวส์ 17 มี .ค. 39)

 

[ ทางไสยศาสตร์ ก็คงต้องระวังว่า  ใครเป็นใคร  ใครเป็นพระภูมิเจ้าที่หรือมีเจ้าที่เจ้าทางอยู่ไหน  ให้ความเกรงใจกันบ้าง  หากไม่รู้ใครเป็นใครเลย  ถือว่าตัวดีล้ำมนุษย์ทั้งหลาย ก็ต้องเจอดีเข้าอย่างนี้  ว่างั้นเถอะ ? ]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทแทรกที่ 9  กลุ่มมนุษย์ผู้เหลือรอดอยู่จากมหาภัยแห่งโลก

 

สถานการณ์ใดที่เป็นอยู่ จะดีขึ้นหรือไม่?

ในรูปรวมของโลกยุคนี้แล้ว ตอบได้เลยว่า ไม่ดีขึ้น   จะมีแต่ความเสื่อมและเลวลงไปทุกขณะ

 

และนั่นแหละเป็นเหตุผลสำหรับนักการเมืองฝ่ายค้านที่ไร้คุณธรรม  ที่ไร้ความเอาใจใส่ในกระแสใดแห่งวงจรวัฒนธรรมโลก  ที่สามารถในการถ่วงความพยายามในงานการสร้างสรรค์ต่าง ๆ ได้ด้วยคำพูดอันน่าฟังยิ่งนัก  และพลอยกลายเป็นตัวบั่นทำลายไปอย่างยิ่งใหญ่ อีกสาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ  เพราะหมายถึงระบบการเมืองชั้นดีมีมาตรฐานของมนุษยโลกจะเริ่มต้นเสื่อมทรามลงไป

 

โลกจึงมีแต่เร่งและเร็วในด้านความเสื่อมทรามไปทุกขณะ ๆ

 

เพราะโลกจะมีปกติไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของตนเอง ของโลกเอง ด้วยวิชาการของโลกเอง   เพราะเป็นธรรมดาที่โลกจะไม่สามารถค้นคิดวิชาการชนิดนั้นได้  ฉะนั้น ความพยายามของโลกในการแก้ปัญหาของโลกเอง จึงมีอุปมาเหมือนน้ำสกปรก  หาอาจล้างความสกปรกได้ไม่     นั่นแหละ  !

 

บัดนี้  เราจึงมีแต่ความหวัง

 

หวังว่าสังคมที่มีศาสนา ที่สั่งสอนเรื่องราวของชีวิต  อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้รู้เรื่องราวของชีวิตได้ทั้งหมดทั้งมวล  นั้นแหละ !   ที่ควรจะเป็นกลุ่มมนุษย์ผู้เหลืออยู่ รอดอยู่  ในวันสุดท้ายแห่งโลกาพินาศ  หรือแม้ขณะปัจจุบันนี้ ควรจะเป็นกลุ่มที่มีความสงบที่สุด ในท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าชนทั้งหลายทั้งปวง  และควรจะเป็นกลุ่มที่เดินช้าที่สุด  อยู่อันดับหลังที่สุด  ที่เดินบนเส้นทางแห่งโลกาภิวัตน์  เพราะขณะนี้  การเริ่มต้นยุคพินาศ  คือ  โลกาภิวัตน์  ได้เริ่มเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

 

อุปมาเหมือนล้อนั้นได้ถูกปลดปล่อยไปตามทางที่ลาดลง  มันจะไปแรงเกินฉุด และเร็วรุดยิ่งนัก.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ข่าว รักร่วมเพศ แต่งงานเพศเดียวกันในอเมริกา

ช่อง 9

27 มี.ค. 39

 

ช่อง 9 เวลาหลังรายการ กขค.  เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ข่าวสมรสพวกเพศรักร่วมเพศ ในอเมริกา ในอเมริกา ภาพข่าวการแต่งงานให้คนเพศเดียวกัน ชายกับชาย หญิงกับหญิงหลายคู่ มีการสัมภาษณ์ความรู้สึกนี่คือวิปริตในแดนอนารยธรรม อเมริกา เพราะเป็นความวิปริตไปยิ่งกว่าหมู่สัตว์ดิรัจฉานสี่เท้าทั้งหลายทั้งปวง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

ภาพยนตร์จีน จุดอันตรายต่อสังคมไทย

ช่อง 3

วันที่ 1 เมษายน 2539 หลังข่าวภาคค่ำ

 

 

หนังที่สร้างอย่างปราศจากมโนธรรม

 

ฮ่องกงวันนี้ยังคงเป็นหนังที่สร้างขึ้น โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่า มโนธรรม เมื่อมโนธรรมหมายถึง ภาคภายในของมนุษย์ที่อ่อนโยน กรุณา พร้อมตัวสติปัญญาที่รู้แจ้งความเป็นเหตุเป็นผลแห่งระบบคุณธรรมทั้งหลายในโลกจักรวาลนี้หรือ แม้มโนธรรมที่หมายถึง ความชอบธรรมที่หมายถึง ความชอบธรรม ความยุติธรรม หรือศีลธรรมเองก็ตาม หนังจีนฮ่องกงก็ยังคงอาจเรียกได้ว่า ไม่มีลักษณะที่เอื้อแต่ความมีมโนธรรมในมนุษย์ อย่างที่กล่าวมานี้เลย หนังจีนฮ่องกงทุก ๆ เรื่องแทบไม่ต้องอ้างเลยว่าเรื่องอะไร ชื่อว่าอะไร ฉายที่ไหนเมื่อไร ดำเนินไปปราศจากสิ่งเหล่านี้ จึงเรียกว่าไร้มโนธรรมสำนึก อันเป็นสำนึกธรรมดาสามัญของความเป็นมนุษย์ ที่เอื้ออำนวยให้สังคมเป็นอยู่  คือมีการอยู่ด้วยกันอย่างมีภราดรภาพ (ความรู้สึกต่อกันอย่างญาติพี่น้อง)

 

 

มิได้มีการให้แด่สังคม

 

หากแต่หนังจีน มิได้มีอะไรที่เป็นการ “ให้” แด่สังคมเลย มีแต่เพียงอย่างเดียวโดยตลอดมาคือการเอา   และตอบแทนด้วยการทำลาย โดยเฉพาะหนังประเภทกำลังภายใน ได้ก่อโทษภัยอันลึกซึ้ง และมากมายมหันต์ แด่สังคม โดยค่อย ๆ บ่อนทำลายลงไปทีละเล็กละน้อย เป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็น ยิ่งกว่าน้ำฝนที่ตกเซาะลงมาบนภูเขาหินปูน

 

เพราะความมุ่งหมาย ในการสร้างภาพยนตร์ขึ้นมา มิได้มีเหตุผลอื่นนอกจากเพื่อการค้าขาย เพื่อกอบโกยเงินตราอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นใด ไม่มีความสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่โดยรวม จึงเป็นตัวการที่บ่อนทำลายอย่างลึกซึ้ง ในด้านคุณงามความดีของชนในชาติ ด้านวัฒนธรรมในส่วนรวม อย่างน้อยนักที่จะมีสายตาใดเรียนรู้เท่าทันถึงภัยอันตรายชนิดนี้

 

เราจงมองดูที่ความเป็นวีรบุรุษและวีรกรรมในหนังเหล่านี้อันเป็นจุดยุทธศาสตร์หลัก แห่งความสนใจ ของผู้ดูผู้ชม และเป็นตัวอย่างที่เด็ดขาดสำหรับการลอกเลียนพฤติตาม หรือการเอาอย่างของคน ทั้งหลาย  จะพบว่า วีรบุรุษผู้สร้างวีรกรรมในหนังจีนกำลังภายในล้วนเป็นวีรบุรุษแห่งอบายทั้งสิ้น การผูกเรื่องราวของวีรบุรุษเหล่านี้ขึ้นมาล้วนมุ่งสนองกิเลสอันลึกของคน มนุษย์ชน ปุถุชนทั้งหลาย คือความปรารถนาอันล้ำลึก ภายใต้จิตสำนึกของปวงชน นั่นคือการสนองสัญชาติญาณเถื่อน ที่มีอยู่ใต้จิตสำนึกของคนทุกคน เขาจึงสร้างหนังออกมา ที่ล้วนแต่เป็นหนังที่บอกวิธีการระบายซึ่งความคับแค้น บอกวิธีการแก้แค้นให้แก่คนทุกชนชั้น ทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกการงาน ไม่เว้นแม้เด็กเล็กและผู้แก่เฒ่า พวกเขาได้ทำการปลุกเร้าความรู้สึก คับแค้นให้ระอุขึ้นกับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นคนทุกประเภทแห่งคนทั่งมวล ซึ่งเราได้พบแล้วว่า มีพร้อมสรรพแบบแผนแห่งการแก้แค้น ที่เขาทำขึ้นเพื่อสนองกิเลส และกลายเป็นการชี้นำทางให้ชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมประพฤติตนในทางที่ไม่สอดคล้องต่อศีลธรรมและคำสั่งสอนในศาสนา

 

เสนอทางออกอย่างเดียวคือแก้แค้น

 

เพราะพวกเขาเสนอทางออกแต่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือ การแก้แค้น และซึ่งแนววิถีทางที่เสนอให้มวลชนนั้น เป็นลักษณะที่สนองกิเลส คือความอยากของคนในเรื่องเช่นนี้มีอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้น ฉะนั้นหนังจีนจึงเป็นหนังที่ ทำรายได้จากการสนองกิเลส โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผลเสียหายอย่างไรต่อสังคมหรือผู้อื่นใด มิแตกต่างอย่างไรกับ การสนองกามกิเลสซึ่งจักไม่มีผู้เสพคนใดรู้สึกอิ่มหรือเพียงพอ นับวันยิ่งทวีมากยิ่ง ขึ้นไปตามลำดับ ๆ เท่าที่สัญชาติญาณเถื่อนอันอยู่ใต้ จิตสำนึกอันลึกซึ้งนั้นถูกปลุกขึ้นมาให้รับความสัมผัสความเถื่อน ความโหด ความทารุณ ที่หนังจีนนำมาล่อ และเฝ้าปลุกให้สัญชาติญาณอันร้ายแรงนี้ลุกพลุ่งโพลงขึ้น

 

เราจะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ ในความเป็นจริง ได้สร้างความนิยมขึ้นมาจริง มีประชาชนนิยมจริง แต่ นั่นแหละอันตราย เพราะเป็นวิธีการที่สร้างความนิยมหรือวิธีการหาเงิน  หาลาภ ที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของหนังเซ็ก มีอยู่อย่างไร หนังประเภทรุนแรงก็มีอยู่อย่างนั้น ซึ่งความไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมอันนี้ เป็นสิ่งที่ดูจะไม่ยากนักสำหรับคนสามัยเจริญทางการศึกษาแล้วจะเข้าใจได้ 

 

ดังเราจะเห็นอยู่ทั่วไปที่หนังจีนฮ่องกง สอนหรือยุยงส่งเสริมภรรยา ให้แก้แค้นสามี ให้สามีแก้แค้นภรรยา สร้างความสะสมให้ทั่งสองฝ่ายอย่างเต็มอิ่ม  สอนหรือยุยงส่งเสริมลูกน้องหรือลูกจ้าง ให้แก้แค้นนายสอนหรือยุยงนายให้แก้แค้นลูกน้อง

 

สอนหรือยุยงส่งเสริมศิษย์ให้ทรยศต่อครูบาอาจารย์ สอนครูบาอาจารย์ให้คิดมิชื่อต่อศิษย์ สร้างเหตุขึ้นให้มีการปฏิบัติตอบต่อกันระหว่างคนเหล่านี้ อย่างสะใจ โดยไม่ชอบธรรม  แม้กระทั้งสอนลูก ไม่ว่าลูกหญิงหรือชาย ให้คิดมิดีมิร้ายต่อบิดาหรือมารดาผู้บังเกิดเกล้า ทุกรูปแบบแห่งความผิดศีลธรรม นั่นแหละ มีครบถ้วน พอเป็นแบบอย่างทางเสื่อมเสียในหนังจีนฮ่องกงนี้

 

ฉะนั้น ด้วยเหตุ เนื้อเรื่องเช่นนี้ ช้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่กับเรื่องการแก้แค้นของคนกลุ่มต่าง ๆ ใฝ่ใจในความรุนแรงและไม่มีความคิดในทางอื่นนอกไปจากใฝ่ในการแก้แค้น ดังได้วิเคราะห์มาแล้วว่า ภาพยนตร์จีนกำลังภายในเป็นสิ่งที่สะท้อนคนสังคมกลุ่มหนึ่ง ที่มีแต่เรื่องราวของความแค้น มีแต่เหตุและผลของการที่จะแค้น คั่งอยู่ภายในหัวอก และเมื่อแค้นแล้ว คนกลุ่มนี้ สังคมนี้ ก็มีทางออกอยู่เพียงทางเดียว คือ แก้แค้นทางเดียวเท่านั้น คือการแก้แค้นนี้ เมื่อเราชมภาพยนตร์ที่สะท้อนบทบาทเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ได้ดูได้เห็นการแก้แค้นที่มันสะใจเราอย่างยิ่ง อันตรงกับกิเลสส่วนลึกของเราทุกวัน ซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั่นแหละ เราก็จะค่อยคล้ายตามไปจนเกิดเป็นความนิยม และสนุกไม่รู้เบื่อ มันทุกครั้งมันทุกคราว เพราะการแก้แค้นที่สะใจ ที่ตรงกับใจของทุก ๆ คน เพราะสัจธรรมมีอยู่ว่า โลกคือทุกข์ ชีวิตคือทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์  ไม่มีอะไรดับนอกจากทุกข์   โลกและทั้งหมดคือสรรพสิ่งมีสภาวะอันเดียวกันคือทุกข์ โดยตลอด แต่การปลดทุกข์นั้น ที่ถูกต้องและเป็นวิถีทางที่สำคัญก็คือวิถีทางบุญ มิใช่วิถีทางบาป หากแต่หนังจีนนั้นได้เสนอวิธีทางเดียว ซ้ำ ๆ ซาก ๆ คือวิถีทางบาป คือการแก้แค้น อันเป็นวิถีทางที่ขัดต่อศีลธรรมและหลักการศาสนาทุกศาสนาในโลก

 

 

ครูทางสังคมที่ชั่วร้าย

 

เราได้ปล่อยให้นักสร้างภาพยนตร์ ที่เห็นแก่ตัวจัดพวกนี้ทำตนเป็นครูทางสังคมที่มีคำสอนหรือข้อเสนอแนะทางออกของปัญหาอยู่อย่างเดียวคือการแก้แค้น  อันเป็นหนทางแห่งบาป  การแก้แค้นเป็นหลักนี้คือที่มาแห่งคำว่า  ไร้มโนธรรมสำนึกในหนังจีน  และเป็นสิ่งชี้ส่อถึงความเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของคนอื่น หรือความเสียหายของสังคมส่วนรวม ทั้งนี้ก็เพราะการสร้างหนังที่ชี้นำทางปลดทุกข์ ปลดแค้น ที่ตรงกับกิเลสหรือสัญชาติญาณใฝ่ต่ำ   ฝ่ายต่ำของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่สอดคล้องถูกทางกับสัญชาติญาณเบื้องต่ำของมนุษย์ คนจะชอบและนิยมอย่างเพลินไม่รู้อิ่ม ฉะนั้นจึงมีสัจธรรมกล่าวไว้ว่า ธรรมดามนุษย์  ใฝ่ทางชั่ว ๆ ง่ายกว่าทางดี ใจใฝ่ทางต่ำยิ่งกว่าใฝ่ทางสูง และผู้มุ่งทางสูงทางดีนั้นมีอุปมาเหมือนเขาโค แต่ทางต่ำนั้นมีมากมายเสมือนขนโค เมื่อจะพามนุษย์สู่พระเจ้านั้นยากยิ่งกว่าจูงอูฐลอดรูเข็ม แต่เมื่อจะพาไปสู่ซาตานนั้น เหมือนขยะทั้งหลายล่องลอยสู่ทะเลใหญ่ ผู้สร้างภาพยนต์จีนที่เห็นแก่ตัวจึงสร้างภาพยนตร์แนวนี้ออกมา นั่นก็คือทวนกระแสแห่งศีลละธรรมเสมอ แต่คนยากจะเข้าใจได้ เพราะความล้ำลึกแห่งสัจธรรมในเรื่องนี้   คือความล้ำลึกแห่งกิเลส  วังวนแห่งกิเลสตัณหา ที่ปุถุชนคนทั้งปวงหลงวนอยู่เป็นวัฏฏะ  เว้นแต่ว่าปัญญา  ได้บังเกิดขึ้นพอจะรู้เท่าและรู้ทันสถานการณ์ จึงจะเห็นจริงในภัยอันตราย เกิดความหน่าย ซึ่งนั่นแหละคือญาณที่เรียกว่า นิพพิทาญาณเกิดขึ้น จงดูอย่างมีความสังเกต ผลที่กล่าวมานี้ ภาพยนตร์จีนฮ่องกง เรื่องใดใดก็ได้ทางจอโทรทัศน์ ทุกวันนี้

 

ลองมาวิเคราะห์ ความเป็นวีรบุรุษ และวีรกรรม ของวีรบุรุษในหนังจีนดูกันต่อไป ที่มองเห็นอย่างง่าย ๆ วีรบุรุษทั้งหลายในหนังจีนฮ่องกง    จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษเสมอไปในเรื่องการเป็นคอสุรา แล้วพาลอ้างเหตุผลที่แทบจะไม่มีคนนึกเฉลียวใจว่า  จะเป็นไปเช่นนั้นไม่ได้เลย นั่นก็คือการดื่มกินเหล้าแล้วได้กำลังภายในที่กล้าแกร่ง หรือสำเร็จวิทยายุทธ์ด้วยการดื่มเหล้า จนกระทั่งคนโง่บางกลุ่มสังคมไทยหลงไปตาม ๆ  กันอยู่ทุกวันนี้   การอ้างของวีรบุรุษจีนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทวนกระแสแห่งศีลธรรมความจริง  และหลักศาสนาทั้งหลายไม่เฉพาะหลักพระพุทธศาสนา แต่ทุกศาสนาในโลก

 

กระนั้นหนังจีนก็สามารถทำให้คนเชื่อได้ว่าพฤติกรรมทราม ๆ เช่นนั้นเป็นวิรกรรมขึ้นมาได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีศักดิ์ฐานะเป็นถึง วีรกรรมที่ผดุงคุณธรรมในแผ่นดินเสียอีก ซึ่งเป็นการปั้นวาทะและปั่นหน้าหลอกลวงคนทั้งหลายได้อย่างไร้สำนึกแห่งความละอายใจ  

 

 

แฝงรสนิยมอบายมุขทุกรูปแบบ

 

ดูในเรื่องพฤติกรรมอื่นต่อไปจากนี้ ก็จะเห็นวีระบุรุษในหนังจีน ล้วนสนใจในเรื่อง สิ่งที่เรียกว่า อบายมุข ทั้งหลายครบเต็มอัตรา ไม่ว่าอบายมุข 4 คือสุรา ดังที่ได้วิเคราะห์มาแล้ว แต่วีรบุรุษจีน สามารถจะดื่มสุรา และนิยมดื่มสุรากันอย่างมากมายผิดปกติมนุษย์ ถึงขนาดที่ยกทั้งไห ทั้งขวดหรือคนโททั้งอันขึ้นกรอกเข้าปากได้อย่างหน้าตาเฉย ๆ นี่คือ อบายข้อที่ 1   ต่อไปอบายข้อที่ 2 นารี แล้วจะต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับนางโลมหรือซ่อมกะหรี่ โสเภณี ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แม้ในมาดที่เป็นวีรบุรุษทระนง ไม่สุงสิง แต่ก็ต้องมาข้างแวะตรงนี้เสมอไปทุกเรื่องทุกราวของหนังจีนกำลังภายใน หนังจีนได้สร้างบรรยากาศของสังคมให้รู้สึกว่าเรื่องการเที่ยวซ่องโสเภณีนั้นเป็นเรื่องเป็นเรื่องปกติของสังคม ที่เปิดเผย ไม่น่ารังเกียจหรือมีความเสียหายอย่างใด   ฉะนั้นทุกเรื่องราวของหนังจีนมุ่งเน้นแต่การนำเรื่องที่ถูกกิเลสฝ่ายต่ำของคนเช่นนี้มาเสนอครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นปกติ จนคนลืมนึกถึงอันตรายของกิเลส  ลืมไปว่ากิเลสนั้นคือตัวทำลาย มิใช่ตัวสร้างสรรค์ หากเราชาชินกับความชั่วความเลวเสียแล้ว นั่นก็หมายความว่า เรานั้น  สังคมนั้นก็จะไม่เห็นว่าอะไรเลวอะไรดี คือไม่มีการจำแนกซึ่งดีและชั่วอีกต่อไป

 

คติแห่งวีรบุรุษจีน ชาวสังคมแค้นนี้ ในขณะนี้ ได้ส่งผลที่ให้สังคมเกิดความชาชินเช่นนี้ไปหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องกามนิยม ที่เป็นที่นิยมฟุ้งเฟ้อ จนเติบใหญ่ไพศาล ปรากฏกระฉ่อนไปทั้งโลก ได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อว่า เป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา

 

เพราะตามที่เห็น ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือการที่สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมที่มีช่องกะหรี่ มีโสเภณีอยู่ทุกแห่งหน  โดยคนไม่รู้สึกว่าเป็นของที่พึงรังเกียจเหยียดหยาม มิได้รู้ว่านี่คือเครื่องชี้บอกความเสื่อมทรามของสังคม แต่คนกลับเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความ เจริญยุคใหม่ไปเสียอีกโดยเฉพาะกรุงเทพเอง จนกระทั่งฝรั่งอเมริกาเองเอาไปเล่าขาน ประจานว่าเป็นเมืองที่มี “a lot of prostitudes” (เมืองที่มีโสเภณีมากมายมหาศาล)ของโลก   ยิ่งกว่าที่เราเห็นในสังคมกำลังภายในในหนังจีนเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะหนังจีนได้สอนเราทุกวัน ๆ ว่าสถานะเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างได ดูแต่ในหนังจีนก็มีเรื่องรางช่อง โสเภณีอยู่อย่างเป็นปกติ  ซึ่งความคิดนี้ก็คือ มิจฉาทิฏฐิ โดยแน่แท้

 

อบายมุขอันดับที่ 3 พาชี และกีฬาบัตร ก็หมายถึงการพนัน ก็ชัดเจนเสมอในหนังจีน และเป็นไปอย่างสะใจในความรู้สึกของความมันในเกมส์การพนันทุกเรื่องทุกราวเช่นเดียวกับความมันและสะใจในเรื่องอื่น ๆ อันเป็นคามเป็นไป ที่ไร้เหตุผลที่ควรเป็นไปได้ทั้งสิ้น ดังเราจะเห็นวีรบุรุษนักการพนันจีน ในมาดเอาใบหูกระดิก ฟังเสียงลูกเต๋ากลิ้งใต้ฝาครอบ แล้วบอกได้อย่างแม่นยำเสมอไปว่าแต้มอะไรขึ้น อย่างกะเทวดาผู้วิเศษ ซึ่งแท้จริงเป็นแต่เพียงผูกเรื่องขึ้นเอาอย่างไม่คำนึงข้อเท็จจริง ขอเพียงให้สะใจคนเท่านั้นเอง  

 

 

โฆษณาชวนเชื่อจนคนหลงชื่นชมนิยมอสัทธรรม

 

วีรบุรุษหนังจีน วีรกรรมหนังจีนกำลังภายใน จึงเป็นเรื่องราวที่เป็นอสัทธรรม อย่างยิ่ง แต่ที่เรามองอยู่ก็คือ วิถีทางแห่งอสัทธรรมเช่นนี้นกลับถูกสังคมนิยมยกย่องเอาเป็นแบบอย่าง อย่างกว้างขวาง   แต่การที่หนังจีนกำลังภายในสามารถหลอกคนทั้งปวงในแผ่นดิน ว่าเป็นหนังแห่งคุณธรรมไปได้ กลับความจริง คือกลับอสัทธรรม เป็นสัทธรรม เสียได้ ก็ โดยสาเหตุต่าง ๆ ตามนัยที่วิเคราะห์มาเรื่องกิเลสส่วนลึกของมนุษย์ ที่ชอบเช่นนั้นเอง ผสมไปกับหลักการโฆษณาชวนเชื่อ คือหลักการโฆษณาซ้ำย้ำหัวตะปู อย่างที่เป็นหลักล้างสมองที่ วิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (วิทยุคอมมิวนิสต์ เคยใช้มา จนเป็นผลคือการปฏิวัติในลาว เขมร แต่ไม่สำเร็จในประเทศไทย) ผสมผสานไปกับเทคนิคอื่น คือ เทคนิคแห่งจิตวิทยา   อันหนึ่งที่ทำได้ดีอยู่ทุกวันนี้ มาจากคติชั้นเชิงของฝรั่งเกี่ยวกับเรื่อง Illusion หรือที่คล้าย ๆ หลักทฤษฏี อุปาทาน ในศาสนาพุทธ ประโยคหนึ่งว่า “All that glitters is not gold.” มันเหมือนประกายของเพชรของทอง แต่ไม่ใช่หรอก หากแต่สามารถเอามาหลอกคนได้เป็นอย่างดี  นั่นแหละ นั่นก็คือแท้ที่จริงมันเป็นเพียงสิ่งที่ละม้ายคล้ายคุณธรราม แต่หาใช่คุณธรรมไม่ คล้ายสัจธรรม แต่แท้ที่จริงเป็นอสัทธรรมอย่างยิ่ง    (เป็นทองเก๊แต่หลอกขายได้เพราะออกประกายเหมือนทองจริง) โดย อาจวิเคราะห์จากวลีที่สุดยอดฮิท อันหนังจีนนำมาอ้างเป็นเหตุพื้นฐานแห่งความรุนแรง หรือจำต้องรุนแรง ในทุกเรื่องก็คือ วลีที่ว่า “บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ” นั้นก็คือเหตุผลของคนพาลดี ๆ นั้นเอง คล้าย ๆ กับเหตุผลของหมาป่ากับลูกแกะอย่างไรก็อย่างนั้น ฉะนั้นจึงทำให้หนังจีนกลายเป็นหนังวีรกรรมของอันธพาลทั้งสิ้น เห็นอยู่แล้ว ปรากฏออกมาเลือดโซกจอทุกเรื่องทุกราวไป สติปัญญาของวีรบุรุษจีน เมื่อมองจากจุดวิเคราะห์นี้ แม้จริงแล้วก็ดูดั่งว่า จะ “นิ่มยิ่งกว่าปู” เสียอีก ไม่เห็นจะน่านิยม น่านับถือว่าเป็นวีรบุรุษ ตรงไหน?

 

แต่นี่แหละเทคนิคที่ว่า “All that glitters is not gold.”          

 

 

วีรบุรุษที่สร้างวีรกรรมเสพสุรา

 

ในวันนี้ สิ่งที่เรียกว่า วีรกรรม ของวีรบุรุษหนังจีนก็คือ วีรกรรมในการเสพสุรา ยา ฝิ่น วีรกรรมในการเที่ยวช่องโสเภณี วีรกรรมอันธพาล ซึ่งไร้เหตุผลทางศีลธรรมจริยธรรม แม้หลักการแห่งศาสนาทั้งปวงทั้งสิ้น เพราะคติว่า  บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ นั้นเป็นเหตุผลของอันธพาลโดยแท้ เพราะในทางปฏิบัตินั้น การทดแทนบุญคุณ ได้กลายเป็นเพียงข้ออ้างหรือตัวต้นของเหตุเพื่อที่จะแก้แค้น อันนี้ เราคงเห็นว่าไม่เพียงแต่เป็นคำพูด หากแต่หนังจีนเดินเรื่องไปเช่นนี้ เพื่อให้ได้เป็นหนังที่บู๊ล้างผลาญกันได้อย่างมันสะใจนั่นเอง  ฉะนั้น การทำสิ่งที่เรียกขานว่า บุญคุณต้องทดแทนหรือการทดแทนบุญคุณกับการแก้แค้นนั้น แท้จริงเป็นดุจดั่งกรรมเดียวกัน หรือแม้ไม่ใช่กรรมเดียวกันก็ตาม แต่เป็นเหตุและผลแห่งกรรมสองอย่างอันต้อวงต่อเนื่องกันเสมอ ในลีลาของนักแสดงฮ่งกง คือไม่มีวันที่ ทดแทนบุญคุณแล้วก็จบลง เป็น   เป็นคุณธรรมหรือเน้นคุณธรรมกันตรงนี้ หากแต่ต้องตามด้วยการแก้แค้นอันเป็นความอันธพาลต่อไปเสมอ เป็นประเพณีของจีนกำลังภายในก็ว่าได้ อันจำเป็น เพื่อให้การบู๊ล้างผลาญดูดี มีเหตุผลและเป็นไปอย่างสะใจผู้ชม ที่ถูกหลอกลวงไปในสัจธรรมจอมปลอมนั้น

 

ฉะนั้น วีรบุรุษหนังจีนจึงเริ่มด้วยการอ้างคุณธรรมอันน่า เคลิบนั้น คือความกตัญญู การทดแทนบุญคุณ แต่แล้ว ก็สืบไปหาความแค้นในภาพหลัง และจึงกลายเป็นเรื่องราวอันธพาลชนที่ประกอบกรรมอันรุนแรง ทารุณโหดร้าย ที่แฝงเงาหรือแฝงการอ้างอิงแอบหลังแห่งสัจธรรมอันสูงส่ง ซึ่งน่าฉงนว่าคนผู้มีสติปัญญาปกติ จักไม่เคยเฉลียวคิดตั้งปัญหาขึ้นในใจบ้างหรือว่า ความประพฤติเยี่ยงนี้หรือที่เรียกว่าคุณธรรม ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องราวแห่ง อสัทธรรม อยู่ชัดเจนโดยแท้จริง    แต่นี่แหละ เขาทำด้วยเทคนิค All that glitters is not gold.ละ 

 

บัดนี้ จึงนำมาสู่ข้อสรุปได้ว่า วีรกรรมหนังจีนในวันนี้ แท้จริงก็ไม่ควรเรียกว่า วีรกรรมแต่อย่างใด ไม่ควรจะหลอกหลอน นำความรู้สึกได้ว่า เป็นวีรกรรมอีกต่อไป เพราะขัดความเป็นจริง เช่น วีรกรรมในการเสพสุรายาฝิ่นแล้วไม่เมา หรือเมาแล้วยังแฝงไว้ด้วยพลังอันล้ำลึกร้ายกาจ ไร้เทียมทานมีที่ไหน

 

ซึ่งแท้จริงในประเทศจีนเองก็เคยมีบทเรียน ดูประวัติศาสตร์จีนชี สมัยสงครามฝิ่น ยืนยันได้ ตอนอังกฤษคิดอุบายง่าย ๆ ได้จากเรื่องอบายมุขนี้  จึงใช้ยาฝิ่นเป็นอาวุธใช้มอมเมาประชาชนทั้งชาติ  เพียงเอาเหล้ายาฝิ่นไปมอมใหญ่ มอมทั่วประเทศ คนจีนก็ติดฝิ่นกินยา กินเหล้ากันหมดประเทศ   ผล ชาวจีนมีฤทธิ์ขึ้นจนไร้เทียมทานอย่างที่ปรากฏในหนังจีนฮ่องกงหรือมื?  ใคร ๆ ก็รู้ แม้กระทั่งเด็กอมมือก็นึกรู้ว่า ไม่    สิ่งที่มี กลับเป็นประเทศจีนอันไพศาลได้กลายเป็น แดนคนขี้ยาไปทั้งประเทศกลายเป็นยักษ์ป่วยไปตามแผนของนักล่าตะวันตก ไม่เห็นมีสักตัวอย่างหนึ่งที่คล้าย ๆ เราเห็นในหนังจีนกำลังภายในเลย   ในประวัติศาสตร์กล่าวว่าเมื่อจีนกลายเป็นประเทศขี้ยาไปทั้งประเทศ อังกฤษก็มารุกราน เยอรมันก็มารุกราน ญี่ปุ่น รัสเซีย ฝรั่งเศส ต่างเข้ามาแล่ยำกันใหญ่ ไม่เห็นมีวีรบุรุษน้ำเมาไหนเกิดขึ้นสักคนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องโกหกนะ ดังที่คนไทยเราเองก็รู้ก็เห็นอยู่เกลื่อนไปเรื่องขี้ยาจีนแถว ๆ ถนนราชวงศ์ว่ามาจากไหน แล้วต้านทานพวกจักรวรรดินิยมสมัยนั้นได้เพียงไร มิสิ่งที่เรียกว่าไร้เทียมทาน เกิดขึ้นหรือ ดูจากประวัติศาสตร์ชี จึงเป็นของจริงแล้วจะรู้ตัวเสียทีว่า อย่างในหนังนั้น เป็นเรื่องโกหกปั้นเรื่องมาหลอกแท้ ๆ

 

จึงกล่าวว่า นี่ก็มิใช่วีรกรรม หากแต่เป็น อสัทธรรม  โดยแท้  

 

วีรกรรมการเที่ยวช่องโสเภณี

 

นี่ก็คือ อสัทธรรมชัด ๆ ทำลายสัจคมวัฒนธรรมของชาติไปมากน้อยเท่าไรแล้วหาคำนึงไม่ 

 

ต่อมาก็มามอง สิ่งที่เห็นกันชัดเจนไปกว่า นั่นคือ วีรกรรมในการฆ่า     

วีรกรรมในการฆ่า ของหนังจีนกำลังภายในฮ่องกง เป็นไปอย่างทารุณโหดร้าย ซึ่งประเด็นนี้ เป็นจุดเน้นของหนังจีนทุกเรื่อง ทั้งกำลังภายในหรือไม่ใช่กำลังภายใน แม้หนังที่สะท้อนสังคมสมัยใหม่นี้ก็ตาม เพราะนักสร้างหนังฮ่องกงรู้ดีว่า คนชอบกันตรงนี้ นั่นเป็นเรื่องที่มีสัจธรรมรองรับเพราะนี่แหละคือสิ่งที่กระตุ้น สัญชาตญาณเถื่อน ที่มีอยู่ลึก ๆ ในจิตใจของคนทุกคน ให้ลุกพลุ่งโพลงขึ้น คนมีกิเลสตัวนี้ทุกคน อะไรที่ถูกกับกิเลสจึงชอบ จึงนิยม  นี่เป็นธรรมดา  จึงชอบ นิยมเรื่องราวอันรุนแรง  โดยเฉพาะดูจากหนัง จากที่ ๆ เรามั่นใจว่าเรา คนดูไม่เป็นอันตราย ดูชมได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกลูกหลงจากพวกในจอบู๊กันอยู่อย่างบ้าระห่ำเป็นอันขาด  เรื่องการแก้แค้นที่สาสมจึงต้องเริ่มขึ้นด้วยความรุนแรง ดำเนินเรื่องไปด้วยความรุนแรง และไปจบเรื่องลงด้วยความรุนแรง ที่แสดงบทบาทอันทารุณโหดเหี้ยมทุก ๆ เรื่อง ซึ่งทุก ๆ เรื่องมีการทารุณกรรม ทั้งนี้เพราะนักสร้างหนังฮ่องกงรู้ดี เรื่องกิเลสของคนในจุดนี้ แต่เขาลืมไปว่า มันเกินคามจริงไปมากจนทำให้ความทารุณโหดร้าย หรือความรุนแรงในหนังจีนนั้น แม้กระทั่งสัตว์ดุร้าย ๆ สัตว์ป่าในกาฬทวีปที่เราศึกษาได้จากหนังชีวิตจริงของสัตว์ป่าทั้งหลายนั้นก็ยังไม่ทารุณโหดเหี้ยมเท่า

 

 

คนมีพฤติกรรมโหดยิ่งกว่าสัตว์ป่า

 

ในประเด็นนี้แหละที่คนดูอาจจะไม่ทันรู้สึกนึกคิด ว่าคนหรือวีรบุรุษ ในหนังจีนนั้น มีจิตใจเหี้ยม โหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่าจริง ๆ ลองฟังจากชื่อหนังก็รู้สึกแล้ว  เช่น “เหล้ามรณะ” (วีรบุรุษดื่มเหล้าไม่เมา) “เหยียบถ้ำเสือ”   Wกัดไม่ปล่อย” (ยิ่งกว่าสุนัขล่าเนื้อของนายพราน)  “ฟัด ฟัด ฟัด ทะลุฟ้าโหด” (เพราะตั้งใจให้โหดจริง ๆ เพื่อเห็นความเป็นวีรบุรุษ) หรือ  “ต้องใหญ่ให้โลกตลึง”  หนังที่ส่งเสริมให้ทำอะไรไปอย่างสุดเหวี่ยงโดยไม่คำนึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น โดยหลอกว่าทำอย่างนั้นแล้วแหละคือวีรบุรุษ  ขอให้คนตะลึงก็แล้วกัน “ผู้หญิงข้าใครอย่างแตะ”  วีรบุรุษอีกมาดหนึ่งที่สอนให้คนบ้าระห่ำไปอย่างสุด ๆ หลงรักหลงใคร่ไปอย่างสุด ๆ โดยไม่คำนึงความที่อาจเป็นจริงได้  เอาความสะใจ สนองกิเลสคนเป็นหลัก โดยไม่สำนึกรับผิดชอบสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่คำนึงความเสียหายของสังคมส่วนรวมของผู้อื่น หรือแม้สังคมของตนเองก็ตาม

 

เราเห็น การทำร้ายกันในหนังจีน ไม่ว่าจะทำร้ายด้วยอะไรเน้นย้ำซ้ำเติมไปอย่างเมาอย่างมันอย่างกะว่า กระหายเลือดมาเต็มที่   เช่นถ้าเป็นการต่อยการเตะ ก็ต่อยก็เตะเสียจนกระทั่งฝ่ายถูกกระทำแทบเละเทะเป็นดินที่เขาทุบตีไว้ปั้นหม้ออย่างนั้น จึงหยุดจึงวางรามือ ถ้าเป็นฉากการตีการต่อสู้ก็ตีเสียจนกระทั่งว่าถ้าเรื่องจริงแล้วกระดูกคงเหลวแหลกไปหมดจนคนกลายเป็นกองเนื้อกองกลม ๆ ไปได้ ไม่มีการระงับยับยั้งไม่มีความเอ็นดู กรุณา อย่างที่สมกับจะเรียกได้ว่าเป็น วีรกรรมหรือคุณธรรมแห่งยุทธ์จักรเลยแม้แต่น้อย

 

 

สร้างหนังเพื่อให้สะใจคนดูหวังค้าขายเท่านั้น ไม่รับผิดชอบต่อสังคมเลย

 

มาถึงหนังที่สะท้อนสังคมสามัยใหม่ หนังจีนก็ลากเอาอาวุธรุนแรงในสงครามทุกประเภทมาถล่มกัน เอาระเบิดทุกชนิด ทั้งระเบิดขว้าง ระเบิดทิ้ง ระเบิดที่ยิงด้วยเครื่องยิง มาถล่มกันอย่างไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เอาความเมามันความสะใจเพียงอย่างเดียว ซึ่งพวกเขาสร้างหนังขึ้นมา ให้บทและฉากและสิ่งที่เรียกว่าวีรกรรมอันดุร้ายเหี้ยมโหด ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก  ทุกเรื่องทุกราวในหนังของพวกเขา  โดยไม่คำนึงว่าหนังรุนแรงเช่นนี้ แหละที่ได้ทำหน้าที่ปลุกกิเลสแห่งความรุนแรงภายใต้จิตจามนุษย์ให้ลุกโพลงขึ้นมาทั้งโลกทั้งสังคม เป็นโทษภัยแด่สังคมมนุษย์เองทั้งโลกทั้งสังคม  แต่ก็เพราะพวกเขารู้ว่าพวกคนชอบเช่นนี้ เขาขายสิ่งที่เลวเช่นนี้ บททารุณโหดร้ายนี้ สะใจคนดู ขายได้

 

มาวิเคราะห์กันต่อไป ลองนึกดูบทจากหนังบางเรื่อง ทำไมผู้เป็นเมียจึงตบหน้าสามีฉาดหนักขนาดนั้น เราเห็นเจตนาว่า ผู้กำกับสั่งให้ใส่อารมณ์แค้นลงไปเต็มที่ แล้วชัดออกไปให้อารมณ์แค้นเสียอย่างไม่เกรงไม่หวั่น หลายฉาดหลายซ้ำ ก็เพื่อผลออกมา สะใจคนที่อยู่ในสถานะอย่างเดียวกับเมียคนนั้นคนผู้เป็นเมียก็ชอบดูหนังที่สะใจเมีย แล้วก็ถึงคราวผัวตอกกลับบ้างก็โดยวิธีเดียวกัน ผู้กำกับก็สั่งให้ใส่อารมณ์แค้นเข้าไปเต็มที่เช่นเดียวกัน คราวนี้ให้คนในฐานะผู้เป็นผัว  สะใจในการกระทำเช่นนั้นของผัว คนที่เป็นผัวก็ชอบดูหนังที่สะใจความแค้นของผัว พวกเขาทำออกมาสนองกิเลสคนทุกพวกทุกเหล่าแม้กระทั่งหนังประเภทที่ทำขึ้นมาให้สะใจนักซิ่งอันเป็นแบบอย่างความล่วงเกินกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนของสังคม แต่หนังจีนกลับสร้างภาพผู้ร้ายที่กล้าละเมิดกฎของสังคมให้ดูเป็นวีรบุรุษขึ้น ทำได้ เพราะเป็นแต่เพียงการจัดฉากไม่ได้คำนึงความจริงอะไรเกี่ยวกับระบบจราจรที่เป็นอยู่จริง  เพราะหากเป็นฉากจริงเช่นนั้น วีรบุรุษนักแสดงก็คงแบนไปแล้ว อยากสร้างวีรบุรุษแบบไหนที่คนประเภท ใดชื่นชอบนิยม ก็เพียงจัดฉากขึ้น เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรมากไปกว่าการคิดเอาแต่ได้ หวังผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ไม่ได้นึกไปว่าจะเป็นผลเสียหายต่อระบบสังคมของคนส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการลอกเลียนแบบ เกิดนักขับที่กล้าทำอย่างที่เห็นวีรบุรุษหนังจีนจัดฉาก ทำเป็นตัวอย่าง แบบอย่างในทางที่ไม่ชอบธรรมเช่นนี้ที่อาศัยเทคนิคสร้างเรื่องสร้างบท สร้างฉากขึ้นมา ทำให้ทารุณโหดร้าย อย่างสะใจคนทุกชั้น อย่างสะใจคนทุกชั้น วรรณะโดยไม่คำนึงว่าสังคมนั้นจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จากความรุนแรงที่ถูกยัดเหยียดเข้าให้

 

ก็เพราะเขารู้เช่นนี้ รู้ว่าคนชอบเช่นนี้ เหมือนกับที่เขารู้ว่าคนชอบหนังโป๊ะนั่นแหละ เขาก็สร้างก็เอา ความสะใจนี้มาขายก็กลายเป็นเงินเป็นทองตอบแทนไปมากมาย ฉะนั้น จึงกล่าวว่าหนังจีนฮ่องกงนั้น เห็นแก่เงิน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่น และไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม พวกเขาสร้างหนังที่แอบอ้างมโนธรรม แต่หามีมโนธรรมไม่ แอบอ้างวีรกรรมแต่หาเป็นวีรกรรมแต่อย่างใดไม่ แอบอ้างคุณธรรมอันสูงส่งในแผ่นดิน แต่แท้จริงเป็น อสัทธรรม อันต่ำทรามยิ่งนัก นอกจากนี้พวกเขายังแอบอ้าง เอาสิ่งที่คนนับถือบูชาคือ พระสงฆ์องค์พระเจ้าแม้พระอริยะสงฆ์ระดับสูงสุดคือพระอรหันต์   เข้ามาร่วมขบวนการกำลังภายใน อย่างไม่นึกละอายใจว่า เป็นการอาจเอื้อมอย่างไร้คุณธรรมและไร้หลักสัจธรรม ความเป็นจริงแห่งบุคลิกภาพแห่งพระอรหันต์ ที่ทำความเสียหายแด่ศาสนาของคนทั้งปวง แต่คนทั้งปวงหารู้เท่ารู้ทันไม่ เพราะพวกเขาทำได้ ด้วยเทคนิคการโฆษณาชวนเชื่อหลายประการ รวมทั้งเทคนิก   “All that glitters is not gold.”  ดังกล่าวมานั่นเอง

 

 

ถึงวันนี้ หนังทารุณโหดร้าย ที่สนองกิเลสเบื้องลึก สะใจสัญชาตญาณเถื่อนของคนปุถุชนทั้งหลาย ยังคงมีฉายให้ดูในจอโทรทัศน์ เกลื่อนไปในตลาดบันเทิง ทั้งที่เป็นวีดิโอและอื่น ๆ โดยที่คนดูคนชม คนที่มีหน้าที่บริหารสังคมและประเทศชาติ อ่อนในความรู้สึกสัมผัสแห่งภัยอันตรายอันเฉียบลึกที่มีต่อสังคมทั้งสิ้น ที่ได้บันดานผลอันเลวร้ายต่อสังคมไปทั้งหมดแผ่นดิน อย่างที่เป็นปัญหาทั้งสิ้นของสังคมยุคนี้ อย่างสำคัญ อีกทางหนึ่ง จะมีสักวันหรือไม่ที่เราจะได้รู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่า       

 

“เอ๊ะ” ทำไมเราชาวไทยนับถือศาสนาพุทธ จึงปล่อยให้มีการแหดงทารุณกรรม ที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกสัตว์สี่เท้าที่โหดจริง ๆ ในป่า ทางจอโทรทัศน์ วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าเช่นนี้ ไม่กลัวเยาวชนหรือคนทั่วไปเอาอย่างหรือ ไม่กลัวจะปลุกสิ่งที่เรียกว่า อุปาทานแห่ง ความรุนแรงในจิตสำนึกขึ้นมาขย่มขย้ำสังคมหรอกหรือ ?   จะมีสักวันหรือไม่ที่ได้เห็นว่า นี่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาไม่เฉพาะเยาวชนของชาติ ผู้ชอบเลียนแบบวีรบุรุษไร้เทียมทาน ที่กินเหล้าไม่รู้เมา และนิยมโปรดปรานการเที่ยวเตร่ในบ่อน ช่องโสเภณี สตรีโฉด และการพนันเป็นปกติวิสัย ที่หลงว่าเก่งเมื่อสามารถหลีกเลี่ยงความผิดทางกฎหมายได้ ฯลฯ  

 

 

บิล คลินตั้นประนามหนังรุนแรง

 

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ก่อนที่จะมีผู้นำชาติในสังคมไทย สังคมที่มีศาสนาแห่งความเมตตา และ กรุณา จะได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง กลับได้ยินข่าวจากคนในสังคมอื่น ประเทศอื่น กล่าวถึงภัยอันตรายชนิดนี้ และควรกล่าวว่า เป็นข่าวที่น่ายินดี ประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา นายบิล  คลินตั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้แสดงทัศนะวิจารณ์ สถานภาพสังคมที่ถูกกระทบจากภาพยนตร์ประเภทรุนแรง และมีความสอดคล้องกับแนวทัศนะวิจารณ์ ที่ได้ให้มาแล้วนี้ และเขาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนทางปฏิบัติว่า บรรดาหนังที่ให้ความบันเทิงแก่เยาวชนนั้น ไม่น่าจะมีหนังที่ แสดงความทารุณโหดร้ายมากเกินไป เพราะจะเป็นการปลูกฝังให้เด็ก ๆ เห็นเรื่องการทารุณ การงฆ่ากันเป็นเรื่องธรรมดา อะไรที่ร้ายแรง แต่คนเห็นเป็นธรรมดาเสียแล้ว นั่นแหละสังคมวิปริต เพราะความนิยมรุนแรง บอกความชาชินในการที่จะกระทำอะไรรุนแรงได้เสมอ ซึ่งท่านประธานาธิบดี ก็คงหมายถึงหนังจีนฮ่องกงนี่แหละ เพราะยอดหนังที่รุนแรงไร้เหตุผลทั้งเมาทั้งมันอย่างหมาบ้านี้ ไม่มีหนังชาติอื่น เพราะโดยแท้จริงแล้วหนังฮ่องกง มีความทารุณจริงและคงจะไม่เกินเลยไปหรอกกับคำกล่าวที่ว่า โหดเหี้ยมกว่าสัตว์เดรัจฉาน พิสูจน์ได้ เพราะเสือสิงโต หรือสัตว์ที่มีคมเขี้ยวเล็บ เวลามันล่าเหยื่อ อันเป็นบทที่แสดงความทารุณสูงสุดของพวกสัตว์ดิรัจฉาน ในทีท่าล่าเหยื่อ นั้นแฝงไว้ซึ่งคุณธรรมเพราะเหตุ มันก็มิได้ซ้ำเติมให้เกิดความสะใจแด่มันเอง หรือผู้ที่เฝ้าดูมันอยู่ แสดงว่ามันมีคุณธรรมยิ่งกว่าคนในสังคมกำลังภายใน ใช่ไหม ? หรือถ้าว่าสัตว์ป่าเหล่านั้นมีวัฒนธรรมสูงกว่า คนในสังคมกำลังภายใน ถูกหรือผิด ระดับจิตใจของสัตว์พวกนั้นยังสูงกว่าวีรบุรุษหนังจีนเสียอีก จริงไหม ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองนับไปเถิด เหตุอะไรรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมนี้ อย่างผิด ปกติมนุษย์ชน ลองถามตังเองดูว่า เขาได้ตัวอย่างมาจากไหน ท่านประธานาธิบดีสหรัฐได้พูดแล้ว นับว่าเป็นคำพูดที่ชอบธรรม และสมควรอย่างยิ่ง ที่สมาคมโลกจะได้ถือเป็นมติร่วมกันปฏิบัติจริงต่อไป.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                   

 

 

 สวัสดีบางกอก แสงชัย สุนทรวัฒน์โดนลอบทำร้ายสิ้นชีพ

ช่อง 9 อสมท.

12 เม.ย. 2539  07.00 น.

 

แสงชัย สุนทรวัฒน์ ผอ.อสมท. ถูกผู้ร้ายลอบยิงเสียชีวิตกลางดึกเมื่อวานนี้ภายหลังออกไปรับประทานอาหารเย็นกับ นางวัชรี สุนทรวัฒน์ ภรรยา ณ ห้องอาหาร ห่างบ้านพักอาศัย หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ไปประมาณ 2 กม. ขากลับ ภริยาเป็นคนขับ รถเบนช์ ตัวเองนั่งข้าง ๆ มาถึงใกล้ ๆ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ เวลาประมาณ 21.00 น. เศษ ไม่ทราบว่ามีคนร้าย 2 คน ขี่มอเตอร์ไซน์มาติด ๆ ตั้งแต่ออกจากห้องอาหารมา เป็นช่วงที่รถชะลอความเร็วลง คนร้ายจึงได้จังหวะยิงด้วยปืนเพียงนัดเดียว ทะลุเบาะข้างหลังเข้าที่สำคัญ หมอบอกว่าตายก่อนถึงโรงพยาบาลประมาณ 15 นาที ข่าวออกตั้งแต่คืนวันเกิดเหตุคือวันที่ 11 เมษายน 2539 แล้ว

 

จากนั้นมาก็เป็นเรื่องความตื่นตะลึงของคนทั้งประเทศ แม้กระทั้งข่าวชาวไร่ชาวนา ในชนบทที่ห่างไกลกรุงเทพมหานครไปถึงกว่า 500 กิโลเมตร  ก็พร่ำบ่น เสียดาย แสงชัย สุนทรวัฒน์ เพราะพวกเขาได้รู้จักรแสงชัยอย่างลึกซึ้ง โดยรู้ไปถึงจิตวิญญาณ อันบริสุทธิ์ และรู้ว่าบุคคลเช่นนี้มีค่าต่อสังคม และพากันสาปแช่งมือปืนกับผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารอย่างไร้เหตุผลครั้งนี้

 

สังคมทุกชั้น ได้พร่ำบ่นถึงเขา เสียดายเขาแน่ละ  แสงชัย สุนทรวัทน์ เขาคือตัวอย่างของความเป็นมนุษย์ที่แท้คนหนึ่ง ของยุคโลกาภิวัตน์นี้ และในวงการวัฒนธรรมสากล ซึ่งวงการนี้ได้ตัวเขาเป็นแม่งานที่พร้อมด้วยความสามานรถอันเหมาะสมทุกอย่างทุกประการ น่าเสียดายจริง ๆ

 

สรุปลงว่า ราวของแสงชัย ที่ต้องเป็นไปตามกฎธรรมดาของชีวิตและสรรพสิ่งได้มาถึง  ซึ่งจะมีลักษณะอาการแห่งความเป็นไป ในลักษณะนี้อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขาแบบนี้เอง ตามกรรมและเวร อันเป็นเรื่องธรรมดา   แต่ชีวิตของแสงชัย ประวัติของแสงชัย สุนทรวัฒน์ เป็นสิ่งที่น่าสังเกตและมีความหมายในนั้นเป็นอย่างยิ่ง

 

แสงชัย สุนทรวัฒน์ เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ และเขาได้สรรเสริญความคิดไว้อย่างออกหน้าออกตาทีเดียว ว่าเป็นของคู่กับยุค คู่กับการสร้างสรรค์ คู่กับการที่รู้รักษาตัวให้รอดอยู่ คู่กับการศึกษาและการพัฒนาทุกชนิด

 

แสงชัย สุนทรวัฒน์ เล่าไว้ในหน้า 2 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหามากในเรื่องการนอนไม่หลับ ทำให้ชีวิตขาดความสุขไปมากมายวิธีแก้ไข เขาว่าได้พยายามทำตามทฤษฏีจิตวิทยาของฝรั่งหลายทฤษฏี เช่น ทฤษฏีสัตว์เลี้ยงขนขาว อ้วนและช้า เรื่องให้คอยนับแกะขาวที่กระโดดข้ามรั้วไปทีละตัว ๆ นับไปเรื่อง ๆ ก็จะนอนหลับเอง เขาว่าทำอย่างไร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใช้วิธีอื่น ๆ หลาย ๆ วิธีเท่าทีรู้จนหมด เช่นสมาธิ ก็ช่วยไม่ได้ เขาบอกว่าคนที่ไม่เคยเป็นอย่างเขา จะไม่รู้หรอกว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานเพียงใด

 

นี่แหละคือหลักฐานยายที่บอกว่า แสงชัย สุนทรวัฒน์ เป็นนักคิด

เพราะ เมื่อเป็นนักคิด สิ่งที่จะต้องเผชิญก็คืออันตราย อันเนื่องมาจากการนอนไม่หลับ ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ไม่สามารถหยุดความคิดได้นั่นเอง ฉะนั้น การเป็นนักคิด หรือคิดมาก จึงเสี่ยงต่อการป่วยทางประสาทเสมอ โดยปกติทั่วไปแล้ว การเป็นนักคิด จะส่งผลให้เป็นนักทำงานไปด้วยในตัว นักทำงานชั้นประเสริฐเลิศหลายคน จะมีความสุขเมื่อได้ทำงาน เขาจะหยุดงานไม่ได้ เพราะหากหยุดงานเสีย นั่นเท่ากับหยุดความสุขของเขา นักทำงาน แท้จริงจึงเป็นคนประเภทที่ต้องแบกทุกข์ชนิดหนึ่งไว้ตลอดเวลา เพราะวางไม่ได้ ถ้าวางงานเสีย ชีวิตก็ไร้ความสุข มีลักษณะคล้าย ๆ กับนักคิด ตรงที่วางไม่ได้

 

ตามหลักศาสนา การใช้ความคิด จะตรงกับงานวิปัสสนา อันตรายอันเดียวกันนี้  มักจะปรากฏแด่พระผู้เคร่งงานวิปัสสนาเสมอ ๆ แต่สำหรับพระจะมีมากกว่าอาการนอนไม่หลับ เพราะงานชนิดนี้นอกจากการใช้ความคิดแล้ว ยังจะไปเกี่ยวกับ สิ่งที่ปรากฏเป็นภาพขึ้นในภวังคจิต ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจสมาธิ นอกจากนี้ ยังอาจมีกรณีที่ร้ายแรง ไปกว่านี้อีกได้ โดยที่ในขณะใดขณะหนึ่งระหว่างนั้น อาจจะมี สิ่งที่เรียกว่า อุปาทานที่เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง ผ่านเข้ามาในความคิดนั้น ตรงไปสู่ภวังคจิตที่รองรับอยู่ก็อาจปรากฏเป็นภาพ หรือกลับภาพเดิมกลายเป็นภาพมายาการ ที่อาจแปรรูป เปลี่ยนร่างไปต่าง ๆ ได้ หากสติปัญญาน้อย วิเคราะห์ไม่ถูก ก็จะก่ออันตรายขึ้น ทำให้เกิดความสับสน มึนงง ผันผวนไปต่าง ๆ จนอาจเป็นผลเสียหายต่อระบบความคิด หรือระบบประสาทอันอ่อนไหวจัดขณะนั้นได้ สำหรับฆราวาส เมื่อหยุดความคิดไม่ได้ ก็ต้องคิดต่อไป หยุดงานไม่ได้ ก็เอางานเอาการเป็นชีวิต เอางานเอาการเป็นความสุข

 

ต่อเมื่อมาเรียนรู้สัจธรรมในศาสนา สามารถที่จะหยุดความคิดได้ หยุดมโนภาพได้ ตัวอย่างงานวิปัสสนา ที่กล่าวนั้น พระก็จะต้องพัฒนาต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ให้สามารถเข้าสู่ห้องฌานได้ ก็เท่ากับหยุดนิ่งและเสวยผล ที่ได้ นี่เรียกว่าวิถีแห่งปัญญาโดยเฉพาะ  ส่วนวิถีแห่งอำนาจ ก็จะต้องเพิ่มกำลังสมาธิ และกำลังแห่งเจตนารมณ์หรือความอธิษฐานเข้าไปให้มากขึ้นและมากขึ้น จนที่สุดกลายเป็นอภินิหารฝ่ายจิต หรือมโนมยิทธิขึ้นมาได้ตรงนี้เรียกว่ามีอิทธิฤทธิ์ภายใน สามารถสั่งการใดใดต่อกลไกใดใดของชีวิตร่างกายตนทุกอย่างได้ดั่งใจปรารถนา สั่งได้แม้การะทั่งมโนภาพในภวังคจิต นั้นแหละ ก็จะถึงประสิทธิภาพของความคิดอันสูงสุด

 

ความคิดก็จะเป็นดุจดั่งธรรมจักร ที่หมุนไป และหยุดลงได้ดั่งใจ ปรารถนา นั่นแหละคือสภาวะแห่งความเป็นนักคิดอันสมบูรณ์ นักคิดที่ไม่อยู่ใต้อำนาจความคิด แต่ความคิดอยู่ใต้อำนาจของเรา ผู้เป็นเจ้าของ ความคิดนั้น และใช้ความคิดนั้นตีปัญหาต่าง ๆ ในโลกแตกกระจายไปได้ จนพ้นข้อกังขา พ้นอวิชชาไปทุก ๆ อย่าง และก็จะไม่มีปัญหาเรื่อง การนอนไม่หลับอีกเลย เพราะการนอนไม่หลับของผู้นั้น อาจจะ เท่าเทียมกับการตาย (ความจริงยิ่งกว่า เพราะวิญญาณสงบ แต่คนตายวิญญาณหาสงบลงไม่)

 

นี่คือที่มาแห่งทฤษฏี ตายก่อนตาย ซึ่งอธิบายต่อด้วยอีก 2 บทคือ ตายในความเป็น และเป็นในความตาย อันเป็นที่สุดแห่งความหมายของ ปรมัตถประโยชน์ และ ปรมัตถธรรม และที่สิ้นสุดแห่งกิเลสแห่งความใฝ่ฝันใดใดของบุคคลใดใดในโลกนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทแทรกบทที่ 10  ทฤษฎีความรอดมีอยู่ในศาสนา

 

โลกได้มีการศึกษาถึงทฤษฎีความอยู่รอดและได้พบทฤษฎีนั้นหรือไม่?

ไม่มี !    ไม่พบ! 

 

โดยเฉ)พาะโลกยุคใหม่  โลกสันนิวาส (globalization)  นี้  มิได้สนใจทฤษฎีเพื่อความอยู่รอด  มีแต่คิดค้นทฤษฎีเพื่อการทำลายตนเองทั้งสิ้น

 

 

แต่บัดนี้   เพราะได้รู้ภัยอนาคต  จึงมีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่น่สนใจ และ เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่แต่เพียงทางเดียวของพวกเขา   นั่นก็คือ ทฤษฎีหนีเอาตัวรอด   คือหนีไปอยู่โลกอื่น  ทิ้งโลกนี้ไปสู่ดาวดวงอื่น

 

แต่พวกเขาจะทำสำเร็จเมื่อไร  ในเมื่อในขั้นการสำรวจอวกาศ ก็ยังมิได้พบโลกไหนที่มนุษย์อาจจะอยู่อาศัยได้  และยานอวกาศที่จะพามนุษย์ไปสู่โลกใหม่นั้น ก็ยังไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้    ทั้งหมดทั้งสิ้นอันเป้นทฤษฎีหนีไปสู่โลกอื่นของพวกเขา  ยังเป็นเพียงงานขั้นวางแผนในความคิดอยู่ทั้งสิ้น

 

อะไรจะมาถึงก่อน อะไรจะมาถึงทีหลัง  ระหว่างความพินาศของโลกกับความสามารถที่จะเดินทางไปยังต่างดาว  ที่จะแสวงโชคในอวกาศ?

 

คำตอบคือ  อย่างแรก  เพราะขณะนี้ อย่างแรกได้คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วและได้ส่งผลร้ายขึ้นทั่วไปอยุ่ระดับหนึ่งแล้ว

 

แต่เรื่องความรอดของมนุษย์นั้น  ได้มีศาสนาต่าง ๆ สั่งสอนมาแต่เดิมแล้ว  หากแต่มนุษย์มิได้สนใจ  มิได้เอาใจใส่

 

จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่มนุษย์กลุ่มผู้ฉลาดที่สุดในโลกยุคโลกาภิวัตน์  จะอาจศึกษาทฤษฎีความรอดจากฝ่ายศาสนธรรม  โดยวิธีวิทยาศาสตร์อันทันสมัย และอาจจะเข้าใจทฤษฎีความรอดจากฝ่ายศาสนธรรมโดยวิธีวิทยาศาสตร์อันทันสมัย  และจะอาจเข้าใจทฤษฎีแห่งความรอดนี้และได้ประโยชน์อันยิ่งใหญ่มหาศาลเหลือคณา

 

และเมื่อนั้น  ผลอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นดังนี้คือ  กลุ่มผู้นำโลกซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์  นักเศรษฐศาสตร์  นักการเมือง  นักการทหาร   นักการเงิน  นักธุรกิจการตลาด  ฯลฯ  ทั้งหลาย ก็จักพาโลกโฉมหน้าไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งจะเป็นทิศทางแห่งความรอดปลอดภัย  และไปสู่วิถีการพัฒนาที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่ความสุข  ความอุดมสมบูรณ์  ความเพียงพอความเป็นอิสรภาพ  ความเป็นภราดรภาพ  ความเป็นประชาธิปไตย  และธรรมาธิปไตยอันแท้จริง.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทสรุปทั้งสิ้น

การศึกษาเพื่อความอยู่รอดของโลกยุคโลกาภิวัตน์ 

 

 

 

โลกยุคโลกาภิวัตน์  เป็นสิ่งที่ควรจับตามองและทำการศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดและติดตามเหตุการณ์ยุคนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง  และบัดนี้  เวลานี้  จะได้พบว่ามีความเข้าใจโลกยุคโลกาภิวัตน์ของคนทั้งหลายแตกต่างกันมาก  โดยอยู่คนละขั้ว หรือตรงกันข้ามกันไปเลย  ดังนี้

 

1.   พวกที่มองว่าโลกยุคโลกานุวัฒน์เป็นโลกที่เจริญด้วยศิลปะวิทยาการอย่างสูงสุดของมนุษย์ชาติ เป็นยุคโลกวิทยาศาสตร์ และเท็คโนโลยี่ ที่สามารถสร้าง ผลิตสิ่งที่สนองความปรารถนาของมนุษย์ได้ทุกอย่าง  ชาวโลก ชาวมนุษย์ไม่เคยผ่านยุคใดที่มีความเจริญเพียงนี้มาแต่ก่อน  ในประวัติศาตร์โลก

 

2.   พวกที่มองว่ายุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคอันตราย เริ่มที่จะไปสู่ความพินาศอย่างเร็วเร่งรุดในยุคนี้  เท็คโนโลยี่เจริญขึ้นเพียงใด ความเร็วเร่งไปสู่ความพินาศก็ยิ่งเร็วเข้าเท่านั้น

 

สำหรับแนวการมองตามข้อแรกนั้น ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว เพราะได้มีสิ่งที่พิศูจน์สัจธรรมนี้อยู่มากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกกันว่า  ความเจริญทางด้านวัตถุ   อันเป็นสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน  นอกจากนั้น  วิชาการด้านต่าง ๆ ก็เจริญมาก  ไม่ว่าสาขาดาราศาสตร์เอง  วิทยาศาสตร์  การแพทย์  โดยเฉพาะด้านอวกาศ  และการคมนาคมสื่อสาร  จนทำให้เกิดความรู้สึกกันไปทั้งโลก ว่าโลกที่เคยกว้างใหญ่ไพศาล  บัดนี้กลับกลายเป็นโลกที่คับแคบไปเสียแล้ว

 

แต่โดยการมองโดยวิธีที่ 2  โดยมองว่าเป็นยุคที่โลกเริ่มไปสู่ความพินาศนั้น  เป็นการมองจากคุณภาพภายในจิตใจของมนุษย์  โดยหลักวิชาการด้านจิตใจของมนุษย์ หรือภาคจิตวิญญาณของสังคม   ที่เป็นพลังฝ่ายบริหารโดยรวมของโลก  ซึ่งคำอธิบายของการมองในมุมนี้  มักจะยังไม่ชัดเจน ชัดแจ้ง  จนเป็นที่ยอมรับ   และยังมีอยู่น้อยมากจนแทบไม่เป็นข้อเสนอแนะ เป็นประการที่ 2  ซึ่งทำให้การมองโลกหนักไปในประการเดียวคือ  ประการที่ 1 ที่พากันรับรองเป็นเสียงเดียวกันว่า  โลกมาถึงยุคที่เจริญเฟื่องฟูเต็มที่แล้ว

 

 

วิถีมนุษย์โน้มเอียงไปสู่ความเสื่อม ความพินาศ และทำร้ายตนเอง

 

ฉะนั้น  เมื่อมีข้อเสนอข้อที่ 2  ขึ้นมา  อันเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่ตรงกันข้ามทฤษฎีบทต้นแล้ว ก็น่าจะรับฟัง   นั่นคือเหตุและผลทั้งหมดที่แสดงมาในหนังสือเล่มนี้  อันเป็นอีกชุดหนึ่งแห่งการเฝ้ามองวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว  ที่มองความเป็นไปของชาวโลก  วิเคราะห์เหตุและผลแห่งความเป็นไปจากภาคภายในของมนุษย์    อันขาด ตกไปจากการมองของนักวิทยาศาสตร์ ผู้นำโลกไปสู่ยุคโลกาภิวัตน์  ที่มองจากเหตุและผลทางฟิสิคส์  เพราะวิถีชีวิตคนทั้งหลายนั้น  มีปกติธรรมชาติ  ด้วยเหตุด้วยผลใดก็ตาม   โน้มเอียงไปสู่ความเสื่อมเสมอ

 

และเมื่อมีโอกาสโดยยุคสมัยเปิดทางให้  มนุษยโลกก็จะเป็นดุจดั่งกระแสน้ำ ที่ถูกปลดปล่อยให้ไหลไป  ก็มีแตะทะลักทะลวงไปในทางต่ำทั้งสิ้น

 

และซึ่งมิใช่สิ่งผิดปกติธรรมชาติของมนุษย์แต่อย่างใด  เพราะมนุษย์มีธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง   กล่าวง่าย ๆ ก็คือ มีการประกอบของปัจจัยเหตุหลายอย่างที่ละเอียดและสลับซับซ้อนในตัวมันเอง  และในการประสานสัมพันธ์ระหว่างแต่ละปัจจัยเหตุ เกินระบบมันสมองและการคิดของคนธรรมดาจะวิเคราะห์แยกแยะเหตุและผลเหล่านั้นได้ จนเห็นชัดเจนว่าเป็นอย่างไรตามความเป็นจริง (ที่พระอรหันต์เห็น หรือความเห็นที่ถูกต้องตามคำสอนของศาสนา)  ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ลึกซึ้งไปกว่าการเห็นโดยปกติธรรมดาที่มนุษย์จะสามารถวิเคราะห์เห็นได้  ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงเห็นอย่างนั้น ก็มีทิฏฐิเกิดขึ้นอย่างนั้น  จึงมีปกติธรรมดาประพฤติหรือก่อกรรมก่อเวร แล้วรับผลความประพฤติ หรือผลกรรม  ผลเวร  หรือวิบากกรรมอย่างนั้นเป็นธรรมดา   แต่ยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคที่มีกำลังแรงด้วยเท็คโนโลยี่  ซึ่งแรงกว่าสมัยดั้งเดิมหลายพันหลายหมื่นเท่า  จึงมีอำนาจในการปลดปล่อยกิเลสมากหลายหมื่นหลายพันเท่าตามไปด้วย   อะไรที่เป็นกิเลสของโลกยุคนี้  มาถึงโอกาสแล้ว ที่กิเลสทั้งสิ้นทั้งปวงจะได้รับการปลดปล่อย  กิเลสก็จะครองโลก โลกก็จะหมุนไปอย่างเร็วและแรงตามอำนาจกิเลสนั้น   กิเลสก็กลายเป็นนายปกครองโลกทั้งสิ้น

 

อันตายจะเกิดขึ้นอย่างไรจากกิเลส  ดูเหมือนชาวพุทธหรือคนที่ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชน จะเข้าใจได้เร็วกว่าคนในศาสนาอื่น ๆ   เพราะคนในศาสนาพุทธ  รู้จักสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด คือ กิเลส  ตัณหา  อุปาทาน ฯลฯ

 

แต่กิเลสนั้นเป็นตัวมาร ที่ย่อมมีหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้นคือสร้างความพินาศ  ความสลาย  ความแตกทำลายให้มวลมนุษย์  ซึ่งแม้ศาสนาอื่น ๆ นอกจากศาสนาพุทธ ก็ให้การรับรองไว้ในทฤษฎีนี้  ดังปรากฏจากคำสอนเรื่อง  นรก-สวรรค์  ของศาสนาต่าง ๆ แทบทุกศาสนา   ทฤษฎีโลก 2 ฝ่ายหลาย ๆ ทฤษฎีเช่น  พระเจ้ากับซาตาน ในคริสต์ศาสนา หรือ เทพพรหมกับมารอสูร   ทฤษฎีสามโลก  สวรรค์  มนุษย์  และบาดาล  ของฮินดู   ทฤษฎีของคู่ เช่น  สูงกับต่ำ  มืดกับสว่าง   ดีกับชั่ว   เป็นต้น

 

โลกจึงเป็นไปตามธรรมดาแห่งความเสื่อม ตามกฎไตรลักษณ์ในศษสนาพุทธ  ที่กล่าวสัจธรรมตามความเป็นธรรมดาโลก 2 อย่าง คือ  ทุกขัง  อนิจจัง   และ อนัตตา  อันเป้นหลักการศึกษาที่สำคัญ อันสูงสุดของศาสนา  ที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ คือสามารถแยกปัจจัยเหตุและผลออกมาวิเคราะห์ได้จะแจ้ง

 

โลกจึงต้องเป็นทุกข์กันอยู่เสมอมา และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกาลข้างหน้า

 

จึงหาความมั่นคง ยั่งยืนเป็นไปอยู่ชั่วฟ้าดินสลายมิได้  ต้องเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้

 

และต้องดับสลาย  สู่ความสิ้นสุด  ไม่เป็นตัวของตนอยู่ได้แม้สักอย่างเดียว   อะไรที่เป้นตัวเป็นตน ต้องไปสู่ความแตกดับ สูญสลายไปในที่สุด อันเป็นไปตามหลักอนัตตา

 

 

แต่ยุคโลกาภิวัฒน์เป็นอันตรายยิ่งทวีขึ้นก็เพราะ

 

เดิมกิเลสของโลกถูกศาสนธรรม  โดยบรมศาสดาแห่งศาสนาต่าง ๆ เริ่มขึ้นก่อน  แล้วต่อมาสานุศิษย์ทั้งหลายทั้งปวงทั่วแผ่นดินโลก พากันย่ำยีกดข่มเอาไว้ในรูปรวมของมวลชนทั้งแผ่นดิน  อันเรียกว่าวิถีชีวิตมวลชนหรือรูปแบบแห่งวัฒนธรรมหลายหลากรูปแบบทั่วโลก  ที่ต่างมีแนวคิดอย่างเดียวกันนั่นคือ  การประหาร กดขี่ หรือข่มกิเลส   ทำให้กิเลสไม่อาจงอกเงย หรือในบางสังคมที่มีระบบการศาสนาสูงส่ง ที่ได้รู้เรื่องราวของชีวิตอันล้ำลึก  รู้เหตุผลของความเจริญของชีวิตที่แท้  ก็จะเห็นว่ากิเลสนี้เองที่เป็นตัวเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งสิ้น และอาจประหารเสียได้ด้วยคมอาวุธแห่งความที่ได้รู้ธรรมชาติของกิเลสนี้  ก็มีอยู่    แต่ยุคนี้ โลกมิได้นับถือศาสนธรรมว่าดีไปกว่าเท็คโนโลยี่   จึงประพฤติตามใจตน ไม่เคารพในศษสนาและพากันถอนเสาหลักโซ่ตรวนแห่งมารทั้งหลายเสีย  เป็นเหตุให้มารที่สยบอยู่คืนชีวิต  คืนพลัง   กิเลสที่ถูกข่มขี่ย่ำยี  กลับฟื้นคืนงอกเงย และแล้วก็แผ่พืชพันธุ์ออกไปรอบทิศอย่างรวดเร็ว ตราบจนถึงโลกยุคโลกาภิวัตน์ กิเลสได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ตราบจนบัดนี้ได้ครอบครองโลกทั้งสิ้น

 

 

เพราะเมื่อโลกสามารถสร้างเท็คโนโลยี่ที่ทันสมัย  มีพลังอำนาจ   เท็คโนโลยี่นั้นก็กลับเป็นเครื่องมือที่รับใช้กิเลสมนุษย์ไปทั้งหมดทั้งสิ้น

 

นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าโลกยุคนี้  โลกยุคโลกาภิวัตน์นี้   ยิ่งเท็คโนโลยี่ก้าวหน้าเพียงใด  ก็ยิ่งก้าวหน้าไปสู่ความพินาศเร็วยิ่งขึ้นเพราะเหตุที่โลกมิได้รู้จักกิเลสภายในจิตใจมนุษย์    มิได้รู้ธรรมชาติธรรมดาของความเป็นเหล่าปุถุชนหรือกิเลส   มิได้รู้สัจธรรมหลายอย่างที่มนุษย์ควรจะรู้  เช่นสัจธรรมว่าด้วย จิตใจเป็นใหญ่เป็นผู้นำ  หรือจิตใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว   ฉะนั้น โลกจะเป็นไปอย่างใดนั้น  ย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพแห่งจิตใจ  และเมื่อจิตหรือภาคภายในของมนุษย์  อันรวมเป็นจิตวิญญาณสังคมหรือโลกทั้งปวงถูกครอบด้วยกิเลสเสียแล้ว  จึงหมายถึงภัยอันตรายอันยิ่งใหญ่ไพศาล ย่อมเกิดขึ้น

 

 

 

การศึกษาเพื่อความอยู่รอด

 

ฉะนั้น  เพื่อความอยู่รอด     ในเบื้องต้น  มนุษย์จะต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้จากทฤษฎีหรือวิชาการแห่งตะวันออก  ที่สำคัญ ๆ 2 ประการคือ 

 

1.   ประการแรกว่าด้วยเรื่องราวของ  “กิเลส”  จะต้องเรียนให้รู้พอสมควรว่า  มันคืออะไร?  อยู่ที่ไหน?  และมีหน้าที่ทำอะไร?  มีผลต่อภาคภายในของมนูษย์อย่างไรบ้าง?

 

ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ให้คุณบ้างหรืออย่างไร?

 

เพราะหากไม่เรียนรู้ด้วยเหตุและผล   และดำเนินการพิศูจน์ด้วยตนเองแล้ว   ก็จะไม่สามารถสรุปลงได้โดยง่ายดายว่า  กิเลสมีแต่ทำลาย  มีหน้าที่เสมือนมารในนวนิยาย  เหมือนผู้ร้ายในหนังละคร  ภาพยนตร์  หรือในชีวิตจริง  เป็นหัวหน้าโลกนรกบาดาล   เป็นซาตาน ศัตรูของพระผู้เป็นเจ้า  เป็นอสูร มารร้าย  ตามคติแห่งศาสนาดั้งเดิม  นั่นเอง

 

และให้มองดูว่า  บัดนี้  โลกยุคโลกาภิวัตน์ และเท็คโนโลยี่  ได้รับใช้กิเลสอย่างไร?

 

ดูตรงนี้ จงดูให้ซึ้ง  ดูให้รู้ชัดเจนถึงพิษถึงภัย  และมายาการของกิเลส  ดูให้เห็นข้อเปรียบเทียบ  หรือ อุปมา อุปมัย   เสมือนโลกได้สร้างอาวุธร้ายแรงมหิมา   แต่อยู่ใต้บัญชาการของมหาโจรตัวร้ายกาจ  ที่ขาดความดีภายในจิตใจไปทั้งสิ้น

 

จะมีความรู้สึกเช่นใดเกิดขึ้น? 

 

ความรู้สึกเห็นภัยอันยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น !

นี่แหละ !  คือสิ่งที่ต้องการ เพื่อความอยู่รอด

 

 

 

หัวข้อที่2 กามศึกษา

 

2.    ประการที่ 2  เมื่อได้เรียนรู้พอสมควรแล้วว่า   กิเลส คือตัวทำลายโลก  ก็คงมาตั้งข้อสงสัยขึ้นเองว่า   เพราะเหตุใด เมื่อกิเลสเติบโต ขยายพืชพันธ์ไปกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้แล้ว  โลกจึงยังไม่รู้สึก

 

ในสายตาที่เรามองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเหยียบยืนหมิ่นเหม่อยู่ที่ปากเหวลึกแล้วแท้ ๆ  โลกก็ยังไม่รู้สึกตัว (อุปมาเหมือนนักบวช ไม่สามารถเห็นภัยแห่งวัฏฏะสงสารอยู่ตราบใด ก็หาอาจบรรลุธรรมได้ไม่)

 

 

ก็ต้องไปเรียนรู้เรื่องราวประการที่ 2 ต่อไปคือ  “กาม”

 

กามคืออะไร?   คำตอบคือ กามเป็นลูกน้องของมาร มีหน้าที่กล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ อันเกิดจากการทรมานของกิเลส  มีหน้าที่บดบังอำพรางสายตามนุษย์ ไม่ให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน  ให้เห็นเพียงภาพหลัว ๆ ดั่งความฝัน  (อันเป็นที่มาแห่งประโยคที่ว่า  ชีวิตคือความฝัน สิ่งสำคัญคือเงินตรา  ยอดปรารถนาคือความสุข  อันมีความหมายถึง กาม ทั้งสิ้น)   สร้างภาพมายาขึ้นมาหลอกลวงให้หลงเพลิดเพลินไปในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ  กามมีหน้าที่โดยตรงในการผูกรัดมัดคนมิให้ดิ้นรสหลุดไปนอกกระแสโลก  และเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับฤาษี ชีไพร หรือนักบวช  นักการศาสนา  พระสงฆ์  องค์พระเจ้า  ผู้แสวงหาความหลุดพ้นทั้งปวง  (ความหลุดพ้นจริง ๆ คือพ้นจากกามนี่เอง)   และทั้งมีหน้าที่รักษาเผ่าพันธุ์  ให้มีการสืบพันธุ์ต่อไปในโลก  (เป็นต้นเหตุแห่งการเกิด และการเกิดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ฯลฯ)   หน้าที่อย่างดีที่สุด ที่กามแสดงว่ามีความเอื้ออาทรต่อปวงมนุษย์ก็คือให้ความสุขแด่มนุษย์ และมนุษย์ได้รับความพอใจในความสุขที่กามนำมาให้นี้  จนหลงลืมความจริงไปว่าโลกเป็นแดนแห่งความทุกข์   จนขณะนี้กามได้กำเนิดและปกแผ่พืชพันธุ์  ครอบคลุมโลกไปมากมาย  และจะต้องทวีเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้พอรับใช้กิเลสได้พร้อมสรรพทุกแห่งหน  และทุกกลวิธีการ

 

จึงทำให้มนุษย์มีความเป็นธรรมดา ที่จะมองไม่เห็นสถานการณ์คับขันอันตราย หรือ ความพินาศ   หรือการเดินทางไปในเส้นทางพินาศของมนุษย์โลกเอง  เพราะพบแต่ภาพมายาการของกาม  หลอกให้มองในสิ่งอื่น ที่มิใช่ความจริง

 

การศึกษาที่ควรศึกษาอย่างยิ่งเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์แท้ ๆ   จึงเป็นเรื่องราวของกิลส และ กาม นี้เอง

 

บุคคลและสังคม จะต้องเรียนรู้ว่า  อะไรบ้างคือกามที่ว่านี้

 

ต้องเรียนรู้ต่อไปให้ละเอียดว่า กาม เป็นผู้ทำหน้าที่กล่อมเกลาให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดความชาชิน กับสิ่งแวดล้อมของแต่ละยุคแต่ละสมัยอย่างไร    ให้มนุษย์สามารถทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและความทุกข์ทรมานด้วยสาเหตุต่าง ๆ   อันเนื่องมาจากความมีชีวิต  และสิ่งแวดล้อมใหม่ของยุคสมัยได้อย่างไร  หรือหน้าที่ปฏิบัติการทางจิตวิทยาก่อนการสังหาร เพื่อให้การสังหารเป็นไปด้วยดี  ไม่ดูหฤโหดมากเกินไป หรือ ประหารในเวลาที่นักโทษประหารเผลอสติไป  ประดุจฝูงโคกระบือเข้าโรงฆ่าสัตว์อยู่โดยไม่รู้สึกต่อกลิ่นไอแห่งอันตรายเลย 

 

ฉะนั้น  จึงเปรียบเสมือนยุทธวิธีแห่งกิเลสมาร กระทำอยู่กับโลกมนุษย์ยุคนี้  คือใช้แผนหฤโหด ค่อยบั่นรอนโลกทั้งมวล  แต่เพื่อให้แผนนั้นเป็นไปอย่างเงียบกริบ ดุจดังคลื่นอันแรงใต้ผิวน้ำใหญ่  ไม่ให้เกิดการกระโตกกระตากแบบไก่มันไข่  ก็ใช้ลูกสมุนคือกาม  เข้ากล่อมเกลาบดบังสายตามนุษย์ทั้งปวงเสีย  ก็ทำให้เกิดความชินชา  หลงลืมไป  ลืมตัวไปไม่รู้ทิศทางที่เดินไปสู่ความพินาศ  และในที่สุด ก็จะเป็นเหมือนฝูงสุกร  โค  กระบือ  ที่ค่อยเข้าสู่โรงฆ่า  ไปตามลำดับ ๆ  โดยมิได้รู้สึกตื่นตระหนกหรือความหวาดระแวงแต่อย่างใด นั่นเอง

 

 

ความประมาทเป็นธรรมะประจำโลก

 

กิเลสและกามทำงานอย่างนี้ คนทั้งหลายจึงมีความเป็นธรรมดาไปอย่างนี้  โลกจึงมีความเป็นธรรมดาไปอย่างนี้  และธรรมดาอย่างน็คือค่อย ๆ เสื่อมไป ๆ และในที่สุด ย่อมไปสู่วาระจุดจบอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่ค่อยจะรู้ตัว (ในศาสนาพุทธจึงกล่าวว่า โลกมีปกติอยู่กันด้วยความประมาท ธรรมะประจำโลกทั้งสิ้นจึงเป็นธรรมะที่ว่าด้วยความไม่ประมาท  ธรรมะข้อนี้จึงเป็นธรรมะข้อใหญ่  อุปมาดั่งรอยเท้าช้าง และรอยเท้าช้างนั้นย่อมเป็นรอยเท้าที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรอยของสัตว์ทั้งปวงย่อมอยู่ภายในรอยเท้าช้างนั้น)

 

ฉะนั้น  โลกในทุกวันนี้จึงมิได้รู้สึกว่ามีทุกข์เป้ฯอันมาก  มีอันตรายเป็นอันมาก ล้อมรอบตัวอยู่ทุกแห่งหน  ก็เพราะกามบดบังอยู่  กามหลอกให้บรรเทาอยู่   และเวลาเกิดอันตรายนั้น มักจะไม่รู้ตัว  และโลกหรือสังคมยุคนี้ ก็มิได้ตกใจกับภัยอันตรายนั้นแต่อย่างใด   เหตุร้ายจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  โดยคนมิได้รู้สึกอะไรฝังใจอยู่เนิ่นนาน  ไม่ช้าก็ค่อยลืมไปเพราะกาม   อุปมาเหมือนฝูงเนื้อฝูงโค ในกาฬทวีป  ถูกเสือ สิงโตล่าอยู่เป้นประจำวัน และซึ่งพวกมันต้องสังเวยชีวิตแก่เจ้าป่าอยู่ไม่เคจขาด  แต่มันก็หารู้สึกอะไรไม่   มันมิได้คิด หรือ มีสติปัญญาที่จะคิดป้องกันแก้ไขแต่อย่างใดไม่  เพราะธรรมชาติมัน มิได้มีระบบมันสมองให้อาจสามารถคิดไปได้ไกลเช่นนั้น  การล่าจึงเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ปกติประจำวันต่อไป ๆ   จนกว่าจะสูญสิ้นฝูงเนื้อฝูงโคตัวสุดท้าย  จึงเป้นเรื่องธรรมดาของพวกมัน   ดั่งนั้น

 

ด้วยเหตุนี ภัยอันตรายอันยิ่งใหญ่  จึงเคลื่อนไหวต่อไป  คืบคลานเข้าหามวลมนุษย์อย่างช้า ๆ   ทุกข์ก็ครอบทุกสิ่งทุกอย่างโดยคนมิได้รู้สึก ไม่รู้เรื่องทุกข์ในโลก   จริงอยู่ ได้มีความพยายามที่จะต่อสู้กับภัยพิบัติอันตราย  หากแต่ธรรมชาติการต่อสู้ป้องกันตัวของคน ปุถุชน นั้น   กลับเป็นการทำลายตัวเองยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก  นี่เองคือ ที่มาของกฎไตรลักษณ์

 

 

โลกจะต้องพบจุดจบ ทางรอดไม่มี

 

 

มันจะต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง

 

อันเป็นผลจากความบอดหรือ อวิชชา  ที่มีความอธิบายอยู่ในหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า  อันอาจสามารถเรียนรู้ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์  หรือเป็นวิทยาศาสตร์การศาสนาในแง่ของกาม  ฉะนั้น เพราะอำนาจของกามโลกจึงหามีปกติใฝ่ทางสูงไม่  โลกล้วนใฝ่ในทางต่ำ ใฝ่ตามคำสั่งของกิเลส และใฝ่ไปสู่ความพินาศ   และเมื่อมาสู่ยุคที่เทคโนโลยี่ชั้นสูงล้วนรับใช้กามกิเลสอย่างทั่วถึงแล้ว  อันตรายอันร้ายแรงจึงย่อมอุบัติขึ้นมากมายหลายเท่าไปจากเดิม

 

นี่แหละคือบทเรียนสำหรับโลกยุคใหม่  อันจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง เพื่อชีวิตตนเองรอดอยู่  เพื่อความหลุดพ้นจากภัยเฉพาะหน้าจากกิเลส และ กาม

 

แล้วก็ต้องลองศึกษาต่อไปถึงทางออกของสังคมยุคนี้ หรือการตอบปัญหาข้องใจที่ว่า  เมื่อข้อสรุปเป็นผลร้ายเช่นนี้ จะมีทางออกสำหรับสังคมอย่างไร?

 

เพราะโดยรวมแล้ว  ทางรอดของโลกไม่มี   ไม่อาจมี   ในที่สุดโลกจะต้องพบจุดจบ  มนุษย์จะต้องพบความหายนะ คือความพินาศอันยิ่งใหญ่ เหมือนกับสัตว์หลายชาติพันธุ์ได้สูญหายไปในอดีต  เช่นไดโนเสาแห่งยุคโลกล้านปี   หรือในขณะนี้ สัตว์ใหญ่บางประเภทเริ่มอยู่ยากและเริ่มสิ้นสูญพันธุ์  เช่นงูเหลือมหรืองูหลาม ที่เริ่มหายไปจากป่า   ช้างใหญ่ ช้างไพรก็อยู่ยาก และเริ่มสูญพันธุ์ไป   ปลาบึกในแม่น้ำโขงตัวโตตัวใหญ่ พันธุ์ดั้งเดิมหมดเกลี้ยง กลายพันธุ์เป็นอื่น  สือ สิง กะทิง  แรด  บรรดาเจ้าป่าที่เคยหยิ่งผยอง  แทบไม่มีอีกแล้วในป่าเมืองไทย   ป่าไม้ก็เริ่มหมดไปทีละน้อย ๆ   ผืนนาก็เริ่มหดเข้า ๆ  ฝูงปลาได้หายไปหมดเกลี้ยงจากท้องทะเลไทย  ผลผลิตข้าวและอาหารก็เร่มลดน้อยถอยลงไป ๆ   แม้น้ำดื่มน้ำกินก็ต้องจับจ่ายซื้อขาย  ในสังคมเมืองกรุงก็ต้องแย่งอากาศหายใจกันแล้ว  ฯลฯ   ขณะเดียวกัน กาม ได้หลวกลวงให้มนุษย์ผสมพันธุ์  เริ่งเพิ่มพลเมืองขึ้นไปไม่รู้หยุดหย่อน  นอกจากนั้น กามได้หลอกให้มนุษย์ค้นคว้าหาทางผลิตมนุษย์พันธุ์ใหม่ ซึ่งต้องเป็นพันธุ์ตัวโต ๆ  เพื่อเอาไปเล่นกีฬา พียงเพื่อเอาไปเล่นกีฬาให้คนได้เฮได้ฮากันเท่านั้น   แต่ต้องเพิ่มอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยไปอีกมหาศาล สิเนเปลืองไปมหาศาล    นอกจากนี้คนที่มีเงินบางจำพวกก็ชอบเลี้ยงสัตว์ตัวโต ๆ เช่นสุนัขพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เป็นเพื่อน  ทำให้สิ้นเปลืองอาหารไปโดยไม่จำเป็น   ทำให้โลกประสบปัญหาหนักไปเรื่อย ๆ  นอกจากนี้ยังมีปัญหาร้ายแรงจากเชื้อโรค  เชื้อโรคในยุคโลกาภิวัตน์ก็ล้วนแต่แปลกประหลาดและร้ายแรง  เช่นโรคเอดส์ที่มากับกามโดยตรง   นอกจากนี้ก็ยังมีโรคเกี่ยวกับเด็ก โรคที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ที่ล้วนแต่ร้ายแรง   สะท้อนถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งสิ้น  ซึ่งภัยของมนุษย์ในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้  ได้เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนไปทุกขณะ ๆ  

 

 

 

ชะตากรรมของเผ่าพันธ์มนุษย์คือความพินาศ

 

แต่ในที่สุดแล้ว สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในดาวพระเคราะห์ดวงนี้ คงประสบชะตากรรม  ภายในอายุพระพุทธศาสนา ซึ่งองค์บรมศาสดาทรงพยากรณ์ไว้ 5,000 ปี   ขณะนี้ ยังไม่ถึงยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเริ่มเต็มที่ในปี พ.ศ.2543  หรือ ค.ศ.2,000  โลกก็ยังเป็นภัยร้ายแรงถึงเพียงนี้  มีความเสื่อมถึงเพียงนี้ !    กว่าจะถึง พ.ศ.5,000 โลกจะวิบัติไปเพียงไหน  ในเมื่อก่อนหน้า พ.ศ.3,000  แห่งศาสนาบรมพุทธเจ้า เหล่าคนที่ดีที่สุดในโลก คือเหล่าพระอรหันต์หมู่สุดท้ายก็จะสูญสิ้นไปจากโลก   2,000 ปีที่เหลือ ก็จะคงมีอยู่แต่สงฆ์สมมติ ที่เหมือนคนตาบอดคือปุถุชนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง  ที่ต่างกันก็เพียงเพราะเอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อร่างพอให้เป็นสัญญาณเครื่องหมายว่า  เป็นผู้มีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่าง ๆ  แลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อการดำรงชีพ เท่านั้น   และนักบวชเหล่านั้น จะหารู้จักอะไรคือมรรค  อะไรคือผล  อะไรคือนิพพานไม่   ย่อมรู้จักแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือโลกธรรม 8 ประการ  อันแสดงความเป็นปุถุชนเต็มขั้น

 

เพราะโลกมีความเป็นธรรมดาที่จะต้องเดินทางไปสู่ความเสื่อมสลาย   มันเป็นเช่นนั้นเอง

 

ฉะนั้น  แม้ว่าจะพอนึกรู้ทางอยู่ คือโลกทั้งโลกหันทิศทางเดินเสียใหม่   จากการใฝ่ต่ำ ไปใฝ่ทางสูง   ระงับกิเลส  ระงับกาม  ชนะตนเอง  แต่โลกก็จะไม่สามารถทำดั่งนั้นได้   เพราะขัดธรรมชาติของโลกเอง   โลกที่มีกิเลสและกาม ปฏิบัติการบดบัง ฉ้อฉลและหลอกลวง  ด้วยเล่ห์กลทุกอย่าง เพื่อยับยั้งให้มนุษย์ดำรงความเป็นมนุษย์  และให้สืบพืชพันธุ์แห่งมนุษย์ต่อไปในโลก   อันอาจเรียกได้ว่าเป็นปฏิบัติการล้างมันสมองมนุษย์แล้วครอบใหม่ด้วย อวิชชา    และด้วยอวิชชานี้ ดำรงความเป็นมนุษย์ปุถุชนให้ยั่งยืน

 

 

 

เพียงรู้สัจธรรมว่าด้วย การเกิดเป็นทุกข์

 

จนกว่ามนุษย์จะสามารถเห็นได้ว่า  กิเลสและกาม ทำงานกันอย่างไร  ซึ่งหมายถึงการตรัสรู้  แบบรู้แจ้งโลกทั้งสิ้น  อันจะเข้าใจแจ่มแจ้งไปถึงโลกเป็นทุกข์จริงอย่างไร  ชีวิตเป้ฯทุกข์จริงอย่างไร   และแม้เพียงเข้าใจได้เพียงประโยคเดียวคือ   “การเกิดเป็นทุกข์”   อย่างไร    นั่นแหละคือสุดยอดปรมัตถธรรม   ที่อาจเบี่ยงเบนวิถีชีวิตปุถุชนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสและกาม  ไปพ้นจากความวิบัติ   สู่ความรอดได้

 

 

นี่แหละ แนวทางของวิทยา  หรือวิชาที่ทรงคุณค่าทางการศึกษาเรื่องราวของชีวิต  อย่างไม่มีวิชาการแขนงใดเทียบเท่า

 

และโลกทั้งมวลจะต้องบรรจุเรื่องราวเหล่านี้ เข้าในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันการศึกษาทุกระดับของโลก  โดยให้ความสำคัญสูงสุด ในฐานะวิชาที่จะช่วยให้โลกได้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ  โดยสมบูรณ์

 

 

 

 

หันมาพิจารณารูปธรรมของการปฏิบัติเร่งด่วน ในสมัยปัจจุบันนี้

 

โลกยุคโลกาภิวัตน์นี้  จริงอยู่  โลกมีลักษณะดุจเบรกห้ามล้ออันถูกปลดปล่อย  แล้วรถอันบรรทุกหนักก็วิ่งลงทางอันลาดต่ำไปแล้ว  มีลักษณะอาการว่าฉุดไม่อยู่  มีแต่รอปลายทางแห่งความพิสนาศแล้ว ก็ตาม   แต่ก็คงมีหมู่เหล่าที่เชื่องช้าอยู่ เพราะมิได้ตื่นไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์อันเชี่ยวแรงจัดนั้น

 

อันอาจอุปมาเหมือนขบวนคาราวานที่มุ่งโฉมหน้าไปสู่หุบเหวลึก  ขบวนหน้าสุดย่อมลงเหวไปก่อน  ส่วนขบวนหลังที่ล้าอยู่ คงมีโอกาสได้เห็นก่อนว่าขบวนหน้าได้พบอันตรายอย่างไร   และคงหยุดตัวได้ทันกาล

 

 

ฉะนั้น  เท่าที่สังคมใดหนึ่งจะทำได้ โดยวิสัยแห่งโลก ความเป็นโลกเอง  นั้นก็คือ คอยเฝ้าสังเกตดูความหายนะ หรือความเสื่อมทรามใดใดอันจะเกิดขึ้นหรือกำลังเป็นไปอยู่ หรือได้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงเป็นอันตรายหรือเลวร้ายลงไปในสังคมที่ก้าวหน้าที่สุดทางเท็คโนโลยี่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจผู้นำโลกเอง  ดูความเสื่อมทรามด้านต่าง ๆ ของสังคมชีวิต ว่าจะเร็วรุดยิ่งขึ้นไปตามความเจริญ ตามเท็คโนโลยี่ที่ก้าวหน้าไปในทุกด้าน  ไม่ว่าทางจิตใจหรือวัตถุเอง   ย่อมจะเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญที่สุดแห่งโลกก่อนแห่งใดอื่น   หาใช่ที่ประเทศใดก็ตามอันถูกระบุว่าล้าหลังไม่ (บางทีลาวอาจดูดีกว่า มีความอุดมสมบูรณ์ มีความสงบสุขกว่าบางประเทศในเอเชีย ที่ว่าทันสมัยแล้วหลาย ๆ ประเทศเสียอีก  ไทยเองก็อาจจะนึกอายลาวเขาอยู่ ?) 

 

 

 

 

และนี่คือเสียงปลุก

 

 

นี่แหละคือ ความหวังอันสูงสุด   และบัดนี้  ที่นี่คือ  เสียงปลุก!    ให้กลับคืนมา

 

กลับคืนมาสู่กระแสแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม  หรือแม้จะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมแก่เหตุการณ์ สถานที่  และเหตุผลว่าด้วยสิ่งแวดล้อมไปบ้าง ในฐานะกระแสวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์   กลับคืนมาสู่ศาสนา และศึกษาศาสนธรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์   มาสร้างระบอบการปกครองที่สอดคล้องหลักอริยสัจธรรม  พื้นฐานอันเนืองนันในสังคมไทย ยังมีอยู่

 

คือ การปกครองโดยธรรม  ขึ้นในสังคมโลก

 

สร้างสรรค์ระบบการศึกษาของสังคม ให้เป็นสังคมแห่งสติปัญญาอันสูงส่ง  คือสติปัญญาที่รู้และเข้าใจโลกทั้งสิ้นโดยแท้จริง  ครอบคลุมเหตุและผลแห่งความดำรงชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตโดยสมบูรณ์   สามารถมองคุณและค่าของชีวิตได้โดยถูกต้อง ชัดเจน  กระจ่าง  ปราศจากการครอบงำของกิเลสและกาม  หรือ  อวิชชาใดใด   และซึ่งคุณค่านั้น  เมื่อพิศูจน์แล้ว สามารถยอมรับได้อย่างน่าชื่นชมว่าคือความสุขความสงบอันแท้จริง   อันเป็นที่สิ้นสุดของการแสวงหา  หรือที่สิ้นสุดของการเดินทางอันยาวไกลของชีวิต  ลง ณ ที่นี้   ที่ซึ่งสิ้นสุดการเคลื่อนไหวต่อไปอีก  ที่ไม่มีที่ใดอื่นอีก   สำหรับการที่จะอยู่อย่างสงบสุขต่อไปชั่วกาลนาน

 

 

และสังคมจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้ศาสนา ที่ว่าด้วยปรมัตถประโยชน์  และปรมัตถธรรม  ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์การศาสนา  หรือศาสนาที่มีเหตุผล และมุ่งผลสำเร็จในชีวิตนี้   จะต้องเรียนและเข้าใจความเป็นมาแห่งระบบคุณค่าของสังคม และเป้าหมายของระบบคุณค่าในสังคมต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร  อะไรเป็นเป้าหมายของระบบคุณค่านั้น ๆ  และสังคมจะต้องตัดสินใจในการที่จะเลือกระบบคุณค่าใด เพื่อนำมาใช้ได้อย่างเป็นคุณประโยชน์สูงสุด

 

 

นี่คือ ความหมายของปรมัตถธรรม  ที่ส่งผลไปเป็นปรมัตถประโยชน์ และสังคมจะต้องเริ่มการพิจารณา  มองตนเองให้ถี่ถ้วนกว่านี้  และเริ่มงานการวิเคราะห์สถาบัน  เพื่อดูไปถึงต้นเหตุแห่งความเฉื่อยของสถาบันแห่งความรับผิดชอบในภาระหน้าที่  และคุณธรรมทั้งหลาย เพื่อให้สถาบันวิทยาศาสตร์การศาสนา  อุบัติ    เพื่อการนำสังคมให้ก้าวไปทันโลกและเหมาะสมกับความเป็นไปและสิ่งแวดล้อมของยุคโลกาภิวัตน์  โดยวิถีทางวิทยาศาสตร์การศาสนาและวัฒนธรรมมวลชน  หรือ  วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตรอด และดำรงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ต่อไป   

 

 

 

 

 

 

 

โปรดช่วยกันเผยแผ่ออกไปสู่สังคมทุกชั้น

 เพื่อประโยชน์ของสังคมไทย

 

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

พ.ศ. 2537

พ.ศ. 2538

พ.ศ. 2539

21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 การอ้างอิง

 

รวมบทวิเคราะห์สถานการณ์วัฒนธรรมโลก :

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

พ.ศ.2537 - พ.ศ.2538 – พ.ศ. 2539

 

แผนงาน :  แผ้วสังคมด้วยธัมมะ (ผสธ)

ของ           พระพยับ ปัญญาธโร  อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ

                 (ปัญญาธโรภิกขุ : พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถสาม)

                 วัดมหาพุทธาราม         ถนนขุขันธ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000

บูดามี  :     ผู้ดำเนินการ  2540

มีเรื่องราวสืบเนื่องมาจาก  :  เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พุทธศักราช 2537 - 38 – 39

สถานที่ติดต่อ :   ตู้ ปทจ.5 ศรีสะเกษ  33000  หรือ

                         วัดมหาพุทธาราม ถนนขุขันธ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000

                         โทร. – โทรสาร  :  (045) 622455

แฟ้มเก็บ :           \ world1.cw-4\ world2.cw-3\ world3.cw-3

                          \ world4.cw-2\ world5.cw-3\ world6.cw-cw3

มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)   จัดพิมพ์ :  กุมภาพันธ์ 2540

ร่วมฉลองปีกาญจนาภิเษก

ติดต่อที่ :  พระพยับ ปญฺญาธโร :  ปญฺญาธโรภิกขุ (เลขาธิการมูลนิธิฯ)

สำนักงานเลขาธิการมูลนิธิฯ :  วัดมหาพุทธาราม           ถนนขุขันธ์ ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัด     ศรีสะเกษ 33000

โทรศัพท์-โทรสาร  (045) 622455  หรือ

ตู้ ปทจ. 5  ศรีสะเกษ 33000

 

         

 

 

 

 

  • จบเฝ้าดูฯพ.ศ.2539
  • ต่อเฝ้าดูฯพ.ศ.2540

 

 

หมายเหตุ  เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว นับจาก พ.ศ.2540 เป็นต้นไป เป็นรายงานในคอลัมน์หนึ่ง ส่วนหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ดี: วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก  รายคาบ   จากดีเล่มที่ 1 มาจนถึงเล่มที่ 38 อันเป็นเล่มล่าสุด ปัจจุบันนี้ ท่านสามารถติดตามได้จากหนังสือพิมพ์ดี(วารสาร) และดี(อินเทอเนต) โดยตรงทางเวบไซท์นี้คือ https://www.newworldbelieve.net   

 




เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ระหว่างเดือน เมษายน 2553 - ปัจจุบัน
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ระหว่างเดือน ก.พ.- 22 เม.ย.2553
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วระหว่าง ก.ย.2552 - ก.พ. 2553
เฝ้าดูฯ มิ.ย.-ก.ย.2552
เฝ้าดูฯม.ค.-มิ.ย.2552
เฝ้าดูฯธ.ค.2551
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วพ.ศ.2551 ภาคปลายปี ก.ย.- ธ.ค.2551
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วพ.ศ.2551 กลางปี
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2551 ต้นปี
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2549-2550
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2546-2548
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2543-2545
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2542
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2541
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2540
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2538
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2537
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2536
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว หน้าโฮมเพจ article
Headline



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----