(คอลัมน์ระดมความคิด)
จดหมายถึงบรรณาธิการ
ประเด็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับปัญหาพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา(ต่อ)
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่ตอบปัญหา
ก่อนอื่น กระผมขอกราบขอบพระคุณ ที่กรุณาส่งหนังสือที่ตอบปัญหาธรรมให้อ่านและขอขอบพระคุณอีกครั้งที่กรุณาตอบจดหมายให้ทราบ กระผมได้อ่านแล้วขอกราบขอโทษด้วย ท่านตอบได้ดีมาก กระผมอยากจะขอเรียนว่าที่พูดไปนั้นกระผมพูดตามภาษาธรรมปฏิบัติล้วน ๆ สำนวนอาจจะเผ็ดร้อนไปหน่อย เพื่อรสแห่งธรรมในการอ่านเป็นการเปรียบเทียบธรรมทั้งสองฝั่งให้ฟัง คือฝั่งทางปุถุชน กับฝั่งทางพระอริยเจ้า กระผมมิได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นท่านผู้ใดเลย การที่พูดว่าเปรียบเสมือน ป.4 ไปตอบปัญหาปริญญานั้น กระผมเปรียบเทียบถึงตัวเราท่านที่ยังไม่ถึงธรรมว่าเป็นระดับปุถุชน จะไปตอบปัญหาในภูมิรู้ของพระอริยเจ้านั้นที่เทียบระดับปริญญาคงตอบไม่ได้ เพราะคนละภูมิ มิได้ลบหลู่ดูหมิ่นท่านเลย แท้จริงแล้วคณะที่ทำหนังสือออกมาเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกนั้นปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นผู้เสียสละอดทน กว่าหนังสือจะออกมานั้นยากแสนยาก ที่กระผมเขียนในลักษณะนี้ก็มีเจตนาให้ความรู้ให้ผู้อ่าน ได้ความรู้ทางธรรมในส่วนที่เป็นปริยัติ และธรรมปฏิบัติที่เกิดจากการโต้ตอบปัญหาธรรมกัน ท่านผู้อ่านที่ใช้ปัญญาบารมีอ่านแล้ว ก็เข้าใจว่าธรรมปฏิบัติได้แบบนี้ เป็นการพูดเปรียบเทียบให้ธรรมปฏิบัติเท่านั้น อย่างเรื่องศีลนี้ก็เหมือนกัน ท่านตอบมาและยืนยันมาก็ถูกครับ เพราะศีลเป็นฐานของการปฏิบัติ ศีลย่อมพาไปถึงนิพพาน ในมรรค 8 ก็มีศีล สมาธิ ปัญญา กระผมเพียงอธิบายแยกให้ฟังถึงการปฏิบัติเท่านั้น ในการปฏิบัติจริง ๆนั้นจะขาดศีลไม่ได้เลย คนที่จะถือศีลได้ก็ต้องจิตใจน้อมนำมาทางธรรมอยู่แล้ว ที่แยกให้เห็นเพราะกระผมได้เห็นสำนักหนึ่งที่พากันถือกินมังสะวิรัตแต่ไม่นำพากันวิปัสนาธรรมฐานที่เป็นตัวปัญญาพาไปสู่การบรรลุธรรมถือนานไปก็เกิดความเซ็งในการปฏิบัติ สุดท้ายก็เลิกลากันไป เพราะไม่เกิดความสงบร่มเย็นในธรรมปฏิบัติ กระผมเปรียบเทียบให้ฟังว่าการถือศีลเปรียบเหมือนการสร้างบันไดไปสู่พระนิพพาน แต่ไม่พากันขึ้นบรรไดเสียที คือไม่ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานกันนั่นเอง มัวแต่นั่งเฝ้าบรรได เป็นการเปรียบเทียบภาษาทางโลกและภาษาทางธรรมให้ฟัง เพื่อประดับวาสนาปัญญาบารมีกันเท่านั้นครับ ในทางธรรมจริง ๆ กระผมนั้นเคารพธรรมเป็นที่สุดเลย อีกอย่างคือเจตนาไม่อยากให้ใช้ความรู้ทางโลก ที่พากันเข้าใจในธรรมที่ยังเป็นโลกียะที่เรายังไม่มีสภาวะธรรมที่เป็นโลกุตรในตน เข้าไปแก้ไขและตอบปัญหาธรรมที่เรายังไม่มีสภาวะธรรมในระดับที่จะตอบได้เท่านั้น เพราะถ้าเป็นพระแล้วจะอยู่ในข่ายปาราชิก 4 ข้อ 4 ว่าด้วยการอวดอุตริมนุสสธรรมคือพูดถึงธรรมที่นอกตัวเอง(หมายถึงบุคคลที่พระพุทธองค์กำหนดไว้)ที่ไม่มีในตน พาให้คนหลงโลก หลงทางเปล่า ๆ เป็นบาปเป็นกรรมแก่ตัวเองเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้พ้นวิสัยปุถุชนที่จะมาเทียบเอา เคียงเอาได้ แท้จริงแล้วพระคุณเจ้าผู้ตอบปัญหาธรรมนั้นเป็นผู้มีความรู้ในทั้งทางโลกและทางธรรมมากทีเดียว ในทางโลกอยู่ในขั้นปริญญาโท หรือเอก เป็นที่ยอมรับในทางโลก ที่กระผมพูดไปนั้นพูดถึงสภาวะจริงทางธรรมที่เรายังไม่มีในตน ท่านเองมีความรู้ล้นเหลือในทางโลก การตอบปัญหาทางธรรมะของท่าน อ่านดูแล้วได้ดีมากทีเดียว มีการอ้างอิง หลักฐานต่าง ๆ ตามภาษาโลกที่ทำกัน เหมือนเราวิจัยหรือทำวิทยานิพนธ์นั้น ในทางโลกแล้วต้องมีหลักฐานอ้างอิงให้ทราบครบถ้วน จึงจะสมบูรณ์และยอมรับกันว่าเก่ง เป็นผู้มีภูมิความรู้ ส่วนในทางธรรมผู้ที่บรรลุถึงสภาวะธรรมแล้ว(หมายถึงผู้ปฏิบัติที่ได้บรรลุธรรม กระผมไม่มีวาสนาได้บรรลุธรรมดอกเพราะยังโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่)หลักฐานอ้างอิงประจักษ์พยาน ก็คือตนเอง เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นไม่รู้ด้วย ถ้าถึงแล้วขืนพูดไปเขาก็ไม่เชื่อ นอกจากคนที่ปฏิบัติตามขั้นตอน ปัญญาเกิดตามขั้นตอนแล้ว เมื่อถึงสภาวะธรรมแล้วก็จะ อ้อ เป็นอย่างนี้เอง จึงจะเข้าใจ ไม่มีสมมติใดๆ เข้าไปกำกับได้ ไม่มีเครื่องวัดไม่มีหนังสืออ้างอิง จะไปสืบหาหลักฐานทางโลกนั้นไม่มี กระผมพูดในทางธรรมให้ฟัง ไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปวัดไปเป็นมาตรฐานใด ๆเลย กระผมพูดให้ฟังตามภาษาใจ ภาษาธรรม พูดตามความเป็นจริงของธรรมะเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะไปอ่านเอาตามตำราได้ครับ ในสมัยพุทธกาลพระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงระดับพระอนาคามี เป็นฆราวาสมีมากทีเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นภาษาทางธรรมเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นการเสริมวาสนาบารมีผู้อ่าน และจรรโลงหนังสือที่พระคุณเจ้าทำออกมาให้มีรสชาติทางธรรมปฏิบัติอ่านแล้วให้ถึงใจ ไหน ๆ ก็ได้พูดถึงเรื่องพระโสดาบันกันได้แล้ว กระผมอยากจะขออนุญาตพูดเสริมเติมต่อเรื่องพระโสดาบันอริยบุคคล เพื่อประดับปัญญา วาสนาบารมีกันสักหน่อยว่า ท่านผู้มีวาสนาบารมี ไม่ว่าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม หรือมนุษย์ทรงเพศบรรพชิต ทั้งคฤหัสหญิงชาย บรรดาที่ได้พบพระพุทธศาสนา มีศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จักได้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมวิเศษคือวิมุตติธรรม พยายามปฏิบัติตามโอวาทพระพุทธองค์ โดยบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานอันเป็นปัญญาธุระจนได้บรรลุโสดาบันปัตติผลญาณ อันเป็นปัสสัทธิวิมุตินี้ย่อมได้มีโอกาสได้รับอานิสงส์ผลบุญมากมายสุดประมาณ มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลในพระพุทธศาสนา ทั้งอานิสงส์ยั่งยืนทั้งชาตินี้และชาติหน้า อานิสงส์เบื้องแรก ที่ผู้บรรลุโสดาปัสสัทธิวิมุติขั้นที่ 1 จะพึงได้รับคือความเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ซี่งมีนามตามโวหารทางพุทธศาสนาคือพระอริยบุคคลผู้ถึงกระแสพระนิพพาน พูดถึงตอนนี้คนธรรมดาที่มีแต่จินตมยปัญญา ไม่เคยบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานตามกระแสพุทธฎีกา ไม่เคยรู้สภาวะแห่งพระวิปัสนาญาณ อาจจะตีความผิด อันที่จริงพระโสดาบันอริยบุคคล ที่ว่าเป็นผู้ถึงซึ่งกระแสพระนิพพานนี้ ท่านถึงตัวนิพพาน รู้ลักษณะพระนิพพาน เสวยรสพระนิพพานอย่างแท้จริงแล้ว อาจจะมีคำถามว่าพระโสดาบัน ได้เสวยรสพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมอย่างเต็มที่ตอนไหน ขอตอบว่าตอนที่พระโสดาปัตติมรรคญาณและโสดาปัตติผลญาณอุบัติขึ้นในขันธสันดานนี่แล ท่านย่อมถึงตัวพระนิพพาน ได้เสวยรสพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมอย่างซาบซึ้งประจักษ์แท้แน่แก่ใจทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่า เมื่อจะกล่าวถึงสภาวะเมื่อปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน พระโสดาบันปัตติมรรคญาณ และพระโสดาปัตติผลญาณก็คือตัวพระนิพพานอันเป็นโลกุตรธรรมนั่นเอง อนึ่งเมื่อจะกล่าวถึงปริยัติศึกษา อุปมาว่า ธรรมดา เมื่อบุคคลเห็นน้ำซี่งกำลังไหลไปด้วยกระแสอันเชี่ยวกราก ก็ย่อมหมายความว่าเขาเห็นตัวน้ำ และเมื่อบุคคลพลัดตกหล่นลงไปในกระแสน้ำ ก็ย่อมหมายความว่าเขาตกไปในน้ำ สัมผัสกับน้ำ ถูกน้ำ รู้ลักษณะของน้ำ จมลงไปในน้ำ อยู่ในน้ำ รู้รสชาติของน้ำ ด้วยตนของตนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ก็เพราะว่าน้ำกับกระแสน้ำเป็นสิ่งเมื่อว่าตามความจริงแล้วเป็นสิ่งเดียวกันนั่นเอง ในกรณีของพระโสดาบันก็เหมือนกันท่านที่บรรลุปฏิปัสสัทธิวิมุติขั้นที่ 1 ซึ่งได้แก่พระโสดาปัตติผลญาณนี้ นอกจากจะได้อานิสงส์วิเศษสุดดี โดยสามารถนำตนให้ก้าวพ้นจากความเป็นปุถุชนคนธรรมดาสามัญแล้ว ก็เป็นผู้ปิดประตูจตุรบาย(อบายภูมิ)ให้ตนเองอย่างแน่นอนได้อีกด้วย คือในโอกาสต่อไปจะไม่ไปเกิดเป็นอบายสัตว์ในอบายภูมิอันน่าสพึงกลัว นั้นอย่างแน่นอน โดยมีพระพุทธฏีกาเป็นเครื่องรับประกันในคิญชกาวสถสูตร แห่งมหาวรรค สังยุตตนิกาย ดังนั้นผู้ที่ได้เสวยโลกียสมบัติทุกประเภท ย่อมไม่พ้นจากความเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย และสัตว์เดียรฉานไม่ได้เลย ประตูอบายภูมิทั้งหลายยังเปิดอ้ารับคอยรับเขาอยู่ทุกนาที ดังนั้นผู้เสวยโลกัยสมบัติ จึงได้พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ ในเมื่อมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารแล้ว การที่ว่าจักแคล้วคลาดจากอบายภูมิเป็นอันไม่มี เพราะจักต้องพลาดท่าเสียทีไปเกิดในอบายภูมิเหล่านี้เข้าชาติหนึ่งจนได้อย่างแน่นอน ส่วนท่านผู้บำเพ็ญวิปัสนากรรมฐาน จนได้บรรลุพระโสดาปัตติผลญาณอันเป็นปัสสัทธิวิมุติ สำเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลเห็นแจ้งแทงตลอดพระจตุราริยสัจ กำจัดสังโยชน์อกุศลธรรมความชั่วร้ายได้เป็นครั้งแรกนี้ ท่านย่อมมีคุณวิเศษสามารถที่จะตัดกองทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสารได้มากทีเดียว โดยที่ท่านจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกอย่างมากไม่เกิน 7 ชาติเท่านั้น เรื่องนี้มีหลักฐานอยู่ในพระบาลีมหาวรรค สังยุตตนิกาย ข้อ 1754 หน้า 575(บาลีฉบับสยามรัฐ) กระผมขอกล่าวถึงพระโสดาบันอริยบุคคลเพื่อประดับบารมี ตามประสาคนมีความรู้น้อยไว้เพียงแค่นี้ ขอกราบของพระคุณคณะผู้จัดทำหนังสืออีกครั้งหนึ่งด้วยครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง ฯ
หมายเหตุ
ท่านผู้นี้เป็นบุคคลเดียวกับที่มีลิขิตมาถึงบรรณาธิการฉบับก่อน ในคอลัมน์จดหมายถึงบรรณาธิการ
ท่านพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระอริยบุคคล น่าสนใจมาก อันแสดงภูมิปัญญาธรรมชั้นล้ำลึก ที่น่าเชื่อวางใจว่าระดับนี้คงไม่มีผู้ใดผู้หนี่งหลอกลวงท่านได้อีกต่อไป เพราะทรงไว้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองอย่างสูงเสมอ(ใช้หลักกาลามสูตรได้)
มีสิ่งที่ท่านผู้นี้ปริวิตกก็คือเจตนาไม่อยากให้ใช้ความรู้ทางโลก ที่พากันเข้าใจในธรรมที่ยังเป็นโลกียะที่เรายังไม่มีสภาวะธรรมที่เป็นโลกุตรในตน เข้าไปแก้ไขและตอบปัญหาธรรมที่เรายังไม่มีสภาวะธรรมในระดับที่จะตอบได้เท่านั้น นั้นนับว่าเป็นข้อวิตกที่ตรงกับทางเราวิตกและนักปราชญ์อาจารย์ทั้งหลายในวงการสงฆ์ก็วิตกกันอยู่โดยมากทีเดียว เนื่องจากสังคมพุทธยุคนี้ขาดแคลนพระอรหันต์ นั่นเอง จึงต้องปรารภวิตกเรื่องการบรรลุมรรคผลที่ลดน้อยลงไปตามลำดับ ๆ และเราคงต้องคอยมองหาอยู่เสมอ ๆ ว่าจะมีคนที่มีสภาวะธรรมจริง ๆ ในตัวตนมาตอบปัญหาให้หรือไม่ หากไม่มีไม่พบ เราก็คงต้องทำไป พลาง ๆ ก่อน โดยอาศัยหลักการเดินสายกลางดังกล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตามวิธีการทางโลก ทางวิชาการด้านการศึกษา วิจัย (เช่น กระบวนการวิชา Research methodology) ก็สามารถนำมาใช้ในทางธรรมะได้อย่างน่าเชื่อถือ เพราะวิธีการทางโลกนั้นได้มาตรฐานจริง หากรู้จริง พิศูจน์ได้เห็นได้จากการที่โลกมีพัฒนาการมาจากผลการวิเคราะห์วิจัยด้วยหลักวิชาดังกล่าวนี้ จึงกลายเป็นโลกวิทยาศาสตร์ โลกที่อยู่บนพื้นฐานแห่งเหตุและผล และการพิศูจน์ตามหลักนั้น ในความเป็นจริง แม้การศึกษาทางศาสนาทุกศาสนา เราอาจเรียนรู้ด้วยวิธีการ 2 อย่าง ที่ทางโลกเขาใช้กันอยู่ ก็คือ Inductive method กับ Deductive method แต่วงการศาสนาเราทุกวันนี้มักจะใช้เพียง Deductive method วิธีเดียว ทำให้การมองไม่ครอบคลุม ไม่รอบด้านพอ และมักจะไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง ตามหลักพระพุทธศาสนา
ปัจจุบันศาสนายิ่งมีความจำเป็นต้องนำหลักทางโลกมาใช้ อย่างขาดไม่ได้ เช่นหลักกฎหมาย การบัญชี การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์เป็นต้น กฎหมายเอามาใช้ในการปกครองหมู่สงฆ์ เอามากำหนดระบบสงฆ์ เมื่อระบบดีถูกต้อง ระบบก็บันดาลผลให้ได้มาก มากกว่าเรื่องปัจเจกบุคคล (เช่นแทนที่จะบรรลุธรรมทีละคน ๆ ก็สามารถบรรลุกันพร้อมพรึบทั้งหมู่ ทั้งประเทศ ด้วยการจัดระบบการเผยแผ่ การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารที่ดี ภายใต้ระบบการปกครองที่ดีเป็นต้น) แต่เราต้องดูและใช้เครื่องมือที่ดีเลิศนั้นให้เป็นให้ถูกต้อง ในเรื่องกฎหมาย เราก็ต้องระวังว่า กฎหมายนั้นรับใช้ธรรมะรับใช้คุณธรรมตามเจตนารมณ์ของฝ่ายธรรมะหรือไม่ หากเอากฎหมายไปรับใช้อธรรมย่ำยีพระพุทธศาสนาโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยโลภเห็นแก่ตัว (เพราะคุณและโทษนั้นอยู่ด้วยกัน หากระบบให้คุณก็ให้คุณมหาศาล หากให้โทษก็ให้โทษมหาศาลเช่นกัน) ก็จักให้โทษมากเกินกล่าวอ้าง เพราะก็จะกลายเป็นผลบาปอันยิ่งใหญ่ จึงอยู่ที่ภูมิปัญญาสูงสว่างไสวพอเห็นโทษเห็นภัยหรือไม่ เรียกว่าเห็นภัยในวัฎฎสงสาร อันเป็นสัญลักษณ์ของพระอริยบุคคล เพราะพระอริยบุคคลก็คือผู้ที่เห็นภัยในวัฎฎสงสาร หากแต่เห็นภัยคนละระดับชั้นกัน พระโสดาบันก็เห็นภัยระดับหนึ่ง พระสกิทาคามีก็เห็นสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง พระอนาคามีก็เห็นไปอีกระดับหนึ่ง พระอรหันต์ก็เห็นไปอีกระดับหนึ่งอันเป็นการเห็นที่ครบถ้วนที่อาจถอนพิษภัยได้ทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อเห็นภัยอย่างไร เพียงไรก็สามารถดำเนินวิธีการหรือมาตรการการแก้ไขปัดป้องภัยนั้นได้เพียงนั้น
แม้ขณะนี้ก็มีโทษใหญ่ ภัยใหญ่ และส่งผลคือ บาปใหญ่
แต่คนเห็นมีน้อย
ฝากไว้ให้คิด เห็นบ้างหรือไม่ ? หากเห็นจะทำอย่างไร ?
บรรณาธิการ