รายงานข่าวเชิงวิเคราะห์พิเศษ
เกษียณอายุพระที่ 80 เพิ่มโทษละเมิดจริยาพระสังฆาธิการหนัก
มหาเถรสมาคม อาศัยอำนาจตามความแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ออกกฎมหาเถรสมาคมใหม่ 2 ฉบับ ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการปรับปรุงปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ ที่น่าสนใจ คือ
1. กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้ยกเลิกกฎฯ15(พ.ศ.2535) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ โครงสร้างเดิม แต่มีข้อที่เพิ่มเติมเป็นเรื่องใหม่เฉพาะที่น่าสนใจ ก็คือ
1. ให้มี เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัด [ข้อ 18 (เดิมมีเฉพาะเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด)]
2. ให้มี เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอ [ข้อ 23(เดิมมีเฉพาะเลขานุการเจ้าคณะอำเภอ)]
3. ให้มี เลขานุการเจ้าคณะตำบล [ข้อ 28 (เดิมไม่มี)]
ผลของกฎฯ 23 ที่เห็นชัดเจนก็คือ ทำให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับ มีเลขานุการเจ้าคณะช่วยงานมากขึ้น นับแต่มีเลขานุการเจ้าคณะภาค-เลขานุการรองเจ้าคณะภาค, เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด-เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัด, เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ-เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอ และ เลขานุการเจ้าคณะตำบล
โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายก็เห็นชัดว่า ต้องการมือช่วยงานเจ้าคณะพระสังฆาธิการให้เพียงพอ เพื่ออำนวยให้กิจการงานเดินไปได้ดีขึ้น และทำให้กลุ่มหรือชมรมเลขานุการเจ้าคณะเพิ่มบทบาททางกิจการสงฆ์ขึ้นไปอีกมาก
2. กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24(พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ให้ยกเลิก กฎฯ16(พ.ศ.2535) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ และ กฎฯ20(2536) แก้ไขเพิ่มเติมกฎฯ16(พ.ศ.2535)ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ
กฎฯ 24 มีข้อที่เพิ่มเติมเป็นเรื่องใหม่ ก็คือ
1. การแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ กำหนดให้รวบรัดกว่าเดิม โดยให้ที่ประชุมมีเจ้าคณะอำเภอ 1 รองเจ้าคณะอำเภอ 1 เจ้าคณะตำบล 1 และ รองเจ้าคณะตำบล 1 รวมเป็นคณะผู้ดำเนินการ 4 รูป มาพิจารณาร่วมกัน แล้วกำหนดตัวผู้จะเป็นเจ้าอาวาส เสนอไปจังหวัด เพื่อเจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้ง (ข้อ 27วรรค แรก) ซึ่งเดิมเจ้าคณะอำเภอจะออกไปประชุมประชาชนในพื้นที่ แล้วให้มีประชามติ หรือออกเสียงเลือกตั้ง แล้วนำเสนอเจ้าคณะจังหวัด ผู้มีอำนาจเต็มในการแต่งตั้งเจ้าอาวาสโดยที่เจ้าคณะจังหวัดจะเอาตามเสียงประชาชนหรือไม่ก็ได้ แต่ตามกฎฯใหม่ จะไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนในพื้นที่เลย ไม่ต้องออกไปประชุมราษฎรและให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเหมือนเดิม เพียงพระ 4 รูปนั้นพบประชุมกันพิจารณาเลือกพระสงฆ์ที่จะให้เป็นเจ้าอาวาส แล้วรายงานเข้าจังหวัด ให้จังหวัดแต่งตั้ง ก็เสร็จสิ้นขั้นตอนของอำนาจ
2. การแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นหน้าที่เจ้าคณะจังหวัดแต่เพียงผู้เดียวที่จะพิจารณาคัดเลือกตัวบุคคล แล้วเสนอไปตามลำดับชั้นและสิ้นสุดที่ มหาเถรสมาคม ๆ เป็นผู้อนุมัติ (ข้อ 31)
3. มีระบบเกษียณอายุราชการสงฆ์ พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะภาค - รองเจ้าคณะภาค, เจ้าคณะจังหวัด - รองเจ้าคณะจังหวัด, เจ้าคณะอำเภอ - รองเจ้าคณะอำเภอ, เจ้าคณะตำบล -รองเจ้าคณะตำบล เมื่ออายุครบ 80 ให้ยกเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะในชั้นนั้น ๆ แต่มหาเถรสมาคมอาจให้ต่ออายุไปได้อีกไม่เกิน 3 ปี ตามความเหมาะสม(ข้อ 34 วรรค 2)
มีข้อปลีกย่อยอีกหลายข้อ เช่นข้อ 29 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงในกรุงเทพมหานคร และข้อ 40 พระสังฆาธิการดำรงตำแหน่งเจ้าคณะหรือรองเจ้าคณะได้เพียงตำแหน่งเดียว และอื่น ๆ อีกเล็กน้อย
กฎฯ 24 มีหมวดที่พิถีพิถันมากเป็นพิเศษ ก็คือหมวด 4 จริยาพระสังฆาธิการ แบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อความชัดเจนและกระจ่างในทางปฏิบัติ โทษฐานละเมิดจริยาที่ร้ายแรงที่สุด 2 ข้อแรกที่น่าสังเกตให้ดี ก็คือ
1. ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ [ข้อ 54 (1)]
2. ปลดจากตำแหน่งหน้าที่ [ข้อ 54 (2)]
หากพระสังฆาธิการรูปใดต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้ง2ข้อ ไม่ว่าข้อ 54(1) หรือ 54(2) ต้องพ้นจากตำแหน่งพระสังฆาธิการทุกตำแหน่ง(ข้อ 57) ซึ่งรวมไปถึงการพ้นจากตำแหน่งอุปัชฌาย์ด้วย(เพราะอุปัชฌาย์ต้องมีตำแหน่งพระสังฆาธิการรองรับ) จึงนับว่ากฎฯ 24 เข้มงวดเอากับโทษฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการมากเป็นพิเศษ
การละเมิดจริยาพระสังฆาธิการนั้น มีดังนี้
1. ทุจริตต่อหน้าที่
2. ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเกินกว่า 30 วัน
3. ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์และการขัดคำสั่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
4. ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
5. ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (ข้อ 55)
กรณี ธูปยักษ์วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ถล่มเมื่อ 2 พ.ย.41 น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการละเมิดจริยา ตามกฎฯใหม่นี้ โดย น่าพิจารณา ว่ากรณีเข้าข่ายละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ตาม ข้อ 55(3) และ 55(4) หรือไม่ มองจากองค์ประกอบความผิด 2 ประการคือ เจตนา กับ การกระทำ น่าจะเป็นดังนี้
1. มีเจตนาขัดคำสั่งตามข้อ 55(3) [เคยมีมติ สั่งการไว้ตั้งแต่เกิดกรณีอุบัติเหตุกระเช้าวัดพระธาตุดอยสุเทพ ต้นปี 41 ว่าการดำเนินการก่อสร้าง วัดจะต้องประสานงานกับวิศวกรของกรมโยธาธิการ หรือ สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) หรือ เทศบาล] หรือ ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสอย่างประมาท ตามข้อ 55(4) ซึ่งหมายถึง กระทำไปโดยใช้ความระมัดระวังไม่เพียงพอสมเหตุสมผลแก่งานที่ทำนั้น กรณีนี้ มิได้ใช้เท็คนิคโดยเหมาะแก่งานที่ทำนั้น รู้อยู่มีเจตนาอยู่ว่าเป็นการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มุ่งหมายให้เป็นที่สุดของโลก แต่ถ้ามิได้ใช้หลักวิชาทางวิศวกรรมศาสตร์ หรืออาศัยช่างเท็คนิควิศวกรรมศาสตร์ ให้สมกับขนาดความสำคัญของงานเลย การอาศัยประสบการณ์ของไวยาวัจกรวัดที่มิได้มีความรู้ทางนี้เลย นับว่าเป็นการใช้ความระมัดระวังที่ไม่เพียงพอ ถือว่ากระทำไปโดยประมาท ตามกฎฯ24 ข้อ 55(4) นี้ได้
2. เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์ ในที่นี้เหตุที่เกิดขึ้นก็คือประชาชน เสียชีวิตทันที 5 คนอย่างน่าอนาถ บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก เสียทรัพย์สินของประชาชน วัด และแผ่นดิน ไปเป็นจำนวนไม่น้อย เป็นเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาในพระศาสนา เพราะมีการแถลงข่าวไปทั่วโลก
นอกจากนี้คำว่า ความเสียหายอย่างร้ายแรง จะต้องรวมความถึงเหตุที่กระทำ มีผลทางพระธรรมวินัยหรือไม่ อย่างไรด้วย อย่างกรณีนี้ การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายถึง 5 คนต่อหน้าสถานที่อันศาสนิกชนทั้งหลายเคารพบูชานั้น ต้องนับว่าเป็นปาณาติบาตอันมีผลมาจากความประมาทเลินเล่อ (หากมีเจตนาต้องถึงปาราชิกทันที) นั้น น่าสะท้อนคุณธรรมชนิดใดของพระสังฆาธิการรูปนั้น นอกจากขาดความสังวรตามควรแก่สมณวิสัย ขาดหลักพรหมวิหารธรรม โดยนิสัยสันดารหรือไม่ ?
เมื่อองค์ประกอบความผิดดังกล่าวชัดเจนก็อาจถูกพิจารณาโทษถึงถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ตามข้อ 54(1) หรือ ปลดจากตำแหน่งหน้าที่ ตามข้อ 54(2) และหากเป็นเช่นนั้นข้อใดข้อหนึ่ง เจ้าอาวาสจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระสังฆาธิการทุกตำแหน่ง หากดำรงตำแหน่งมากกว่า 1 ตำแหน่งขึ้นไปกี่ตำแหน่งก็ตาม เช่นเป็นเจ้าคณะอำเภอด้วยเป็นเจ้าอาวาสด้วย (ตามข้อ 57) และหากเป็นอุปัชฌาย์ก็ต้องพ้นด้วยโดยอัตโนมัติ
ในกรณีนี้ ยังมีบทกำหนดความรับผิดชอบไปถึงผู้บังคับบัญชาด้วย ว่า ผู้บังคับบัญชารูปใด ไม่จัดการลงโทษผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ละเมิดจริยาหรือจัดการลงโทษโดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชารูปนั้นละเมิดจริยา (ข้อ 52 วรรค 2) ข้อ 52วรรค 2 มีความหมาย 2 ประการ ๆ ที่1 ไม่จัดการลงโทษ และประการที่ 2 จัดการลงโทษโดยไม่สุจริต เช่นลงโทษโดยอคติ เป็นต้นนี้ ก็ถือว่าผู้บังคับบัญชารูปนั้นละเมิดจริยาด้วย มีความผิดตามไปด้วย ฉะนั้น กรณีธูปยักษ์นี้ น่าระวังว่าจะลามไปถึงผู้บังคับบัญชา หากมีอคติไม่จัดการลงโทษผู้กระทำผิด (ฐานละเว้นการกระทำ) หรือลงโทษผู้กระทำผิดโดยอคติ ไม่สุจริตจริงใจ
ฉะนั้น จึงน่าจะมองเห็นเจตนารมณ์ของกฎมหาเถรสมาคมฉบับใหม่นี้ว่า วางอยู่บนหลักการอะไร โดยจะเห็นชัดเจนจากส่วนที่ว่าด้วยจริยาพระสังฆาธิการนี้เอง ที่มองการคณะสงฆ์เป็น ระบบราชการ ชัดเจนขึ้น ฉะนั้นพระสังฆาธิการจึงต้องมีหน้าที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งงานของตน และต้องรับผิดชอบในหน้าที่-ตำแหน่งของตนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกับข้าราชการ-ฆราวาสทั้งหลาย และบทที่ลงโทษที่กำหนดไว้ในกฎฯใหม่นี้ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่-ตำแหน่งราชการสงฆ์ มิได้วางอยู่บนพื้นฐานพระธรรมวินัยโดยตรง
และเมื่อมองระบบสงฆ์ ณ บัดนี้ วันนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ระบบ ได้จำกัดความมีอิสรภาพของสงฆ์ไปอย่างมากมาย กล่าวคือ ได้ทำให้ความเป็นสงฆ์ลดน้อยลงไป ตามลำดับ ความเป็นข้าราชการเข้ามาแทนที่เพิ่มขึ้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าสงฆ์ไทยจะนิยมชมชอบเช่นนั้น คือนิยมความเป็นข้าราชการ มีตำแหน่ง พร้อมยศศักดิ์ที่โก้หรู หานึกไม่ว่า หากจะเป็นข้าราชการจริง ๆ แล้ว ต้องมีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบในหน้าที่ รับผิดชอบต่อประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย(ประชาชนต้องตรวจสอบการบริหาร-การเงินฯลฯ รวมทั้งให้มีการวิพากษ์วิจารณ์งานของสงฆ์ได้ตามสิทธิของเขา) มีคุณที่จะให้เป็นรางวัล และโทษที่จะให้เมื่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งนอนยิ้มหัวเราะ รอรับประเคนลูกเดียว น่าสำนึกอย่างนี้จักคืนมาสู่ความริเริ่มปรับระบบสงฆ์เราเสียใหม่ให้เป็นสงฆ์จริง ๆที่อิงอยู่กับแกนหลักอันล้ำเลิศของพระบรมศาสดา คือพระธรรมวินัย เป็นใหญ่ กันเสียที
กฎฯ23 และกฎฯ24 ทั้ง 2 ฉบับมีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม พุทธศักราช 2541 เป็นต้นมา โปรดศึกษาจากแถลงการณ์คณะสงฆ์ ฉบับพิเศษ เล่มที่ 86 วันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2541.
* 001/รายงาน