ศรีสะเกษกำสรวล ศรีสะเกษ ๒๕๒๗
ไพบูลย์ ขัณฑเขต
-
-
- เรื่องราวของประชาชนกับเมืองที่ยากไร้ ลงตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เสียงศรีสะเกษ ฉบับที่ 27,28 และ 29 ออกระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2527 - 31 มกราคม 2528 ร้อยกรอง ในนาม ไพบูลย์ ขัณฑเขต ฯ
ศรีสะเกษกำสรวล ศรีสะเกษ ๒๕๒๗
ไพบูลย์ ขัณฑเขต
เรื่องราวของประชาชนกับเมืองที่ยากไร้ ลงตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เสียงศรีสะเกษ ฉบับที่ 27,28 และ 29 ออกระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2527 - 31 มกราคม 2528 ร้อยกรอง ในนาม ไพบูลย์ ขัณฑเขต ฯ
เมืองไม่ตื่นคืนค่ำนี้ศรีสะเกษ
จะหลับเนตรสนิทนิทราที่อาศัย
พรุ่งจะปลุกลุกเขาอื่นขึ้นหน้าไป
ไวไวไววิ่งวิ่งวิ่งดั่งลิงลม
ขอคืนเหลียวดูข้างหลังสักครั้งหนึ่ง
ดูแล้วคิดคิดให้ซึ้งจึ่งสาสม
คำหยามหน้าว่าที่โหล่ใครโง่งม
ไม่รู้ขมขื่นได้ไข้อายคนจร
ไม่เคยฝันสักครั้งหนึ่งถึงศักดิ์ศรี
ไม่เคยมีสักความหมายอันไถ่ถอน
ความยากล้นคนไร้ค่าอนาทร
แท้การสอนสิ้นค่าครูดูจงดี
เขาที่ไหนใครกันเล่าจักเข้าจิต
นอกจากมิตรทั้งมวลหมู่อยู่เมืองศรี
ลุกลุกขึ้นเร็วไวไวไขลานที
เร่งขัดสีเจ้าเนื้อแก้วแล้วยาตรา
ข้างหน้าไกลใช่แถวทิวเขาลิ่วล้ำ
เจ้าเพิ่งคลำด้ำหวีวางสางเกศา
อย่าอับจนร่นหลังถอยด้อยปัญญา
เร็วเร่งรบลบดวงตราอันอัปรีย์
เมืองอื่นหลายเลี้ยงปลาดีนามีข้าว
อุดมด้าวแดนรุ่งเรืองยิ่งเมืองศรี
เคยมีปลาก็ล้วนผอมไม่อ้วนพี
เคยข้าวดีก็เพียงได้ขายคืนทุน
มาบัดนี้สิแผ่นดินสิ้นทุกอย่าง
นาก็ร้างด้วยฝนแล้งแรงลมกรุ่น
จวบเดือนเก้าเข้าพรรษาจึ่งมาจุน
พอตกกล้าได้กระชุ่นอุ่นอกใจ
ถึงหน้าดำน้ำบ่ามาปลาเหลือร้อย
ด้วยดินทรามใส่ปุ๋ยคอยข้าวเติบใหญ่
ปลาก็แพ้เคมีฆ่าชลาลัย
ตายเกลื่อนไปในนาข้าวทั้งราวธาร
สิ้นความคิดสิ้นปัญญาประชาราษฎร์
ถึงคราวยากเพราะยิ่งขาดธาตุอาหาร
เคยหน้าน้ำทำปลาร้านับทะนาน
บัดนี้สิสุดกันดารปั้นจิ้มเกลือ
จะเอาแรงที่ไหนกันไปสรรสร้าง
จะพลิกฟื้นผืนแผ่นร้างก็ล้าเหลือ
ยาฉีดซ้ำน้ำปลาเหม็นตายเป็นเบือ
ช่างเหลือเชื่อชาวศรีสู้อยู่อย่างไร
ถัดมาถึงคราวข้าวเขียวเยียวความเข็ญ
พายุมาฟ้าบนเป็นดั่งป่วยไข้
หลายวันคืนลมกระหน่ำซ้ำหนำใจ
น้ำท่วมใหญ่มิดข้าวขาวดั่งดาวราย
อนิจจาอาเพทพังทั้งแผ่นด้าว
ก็ถึงคราวปลากลับฟื้นคืนชลสาย
น้ำดั่งน้ำเนตรประชามากล้ำกราย
ได้ปลาหมายแทนข้าวล้มเป็นตมโคลน
รอน้ำลดจึ่งได้ลงนาดำใหม่
แล้วก็ใส่ปุ๋ยฆ่าปลาตายอีกหน
น่าอนาถความรักสองในท้องชล
ต้องพิกลขาดขั้นคราวข้าวกับปลา
สาวสาเหตุอาเพทใหญ่ในเมืองนี้
ทวยราษฎร์ร้อนห่อนเห็นมีที่แลหา
นายประมงอยู่จังหวัดเต็มอัตรา
ก็เฉื่อยชาไม่สมศักดิ์รักษาการณ์
ชมพ่อเมืองเคยเลื่องลือระบือยศ
ไฉนกาลนี้จึ่งหดไม่ห้าวหาญ
หาใครเล่าเหล่าผู้กล้าประชาบาล
สมสมภารสานฝั่งแก้วแผ้วเมืองดอย
ครั้นหน้าเกี่ยวคมเรียวเคียวขวั้นข้าวล้ม
ควรภิรมย์ก็ไม่สมดั่งเอื้อมสอย
ด้วยความหวังทั้งตาปีที่รอคอย
ก็คือผลแม่รวงพร้อยพรั่งผืนนา
แต่อนาถศักดินาเพียงข้าทาส
น่าประหลาดล้วนแคล้วคลาดวาสนา
เมืองไทยน้อยด้อยทุกสิ่งสินปัญญา
จึ่งสมค่าเป็นเจ้าของท้องนาไทย
ลดค่าเงินเพียงจะพังทั้งท้องทุ่ง
มิเห็นใครอีกแล้วมุ่งมาแก้ไข
มิเห็นใครอีกแล้วผู้จะเห็นใจ
มิเห็นใครอีกเป็นเพื่อนยามยากเย็น
ราตรีล่วงห่วงลูกน้อยละห้อยไห้
จะหาฟืนฝืนฝ่าไปมองไม่เห็น
ใช้ชีวิตผิดมนุษย์สุดจะเป็น
ดั่งไว้เซ่นลิขิตฟ้าดาราโดม
ก่อนอรุณจะรุ่งรางสางแผ่นหล้า
หมอกก็หมายสายหมอกหนามาห่มโหม
กลั่นเป็นน้ำค้างใบตองต้องลมโลม
ปูพรมโซมสุดแผ่นเฉียบยะเยียบเย็น
มิเห็นใครเช็ดน้ำตาประชาราษฎร์
โพธิสัตว์มาสืบชาติก็คงเข็ญ
วิบากกรรมซ้ำทรุดสุดลำเค็ญ
เหมือนเดือนมืดมิดไม่เห็นเดือนตะวัน
ช่วงต่อมาห่าลงซัดฝูงสัตว์เลี้ยง
ไก่ตายเกลี้ยงทั้งหมู่บ้านสะท้านขวัญ
เมืองเมื่อนี้น่าวังเวงเพลงโลกันต์
ช่างน่าพรั่นหวั่นอกช้ำกล้ำน้ำตา
ถึงคราวนี้หนี้ก็รุมสุมท่วมหัว
ต้องเสียตัวสาวสาวร้อนนอนผวา
วัวควายข้าวเข้าของกินถิ่นที่นา
เสียน้ำตาเหลืออกชาติทาสที่ดิน
เมื่อกระนี้แม้เคยเรืองเมืองก็ล่ม
ตระหง่านเหลือก็ถล่มล่องลอยสินธุ์
แต่เมืองศรีใช่ร่ำรวยสวยโสภิน
เหมือนแมงเม่าเหล่าไรริ้นบินสู่เพลิง
หมู่หน้าตายหมู่หลังว่อนวะวู่วุ่น
ตื่นตามกันไป่รู้คุณโทษเถลิง
ปลายธันวานาข้าวเตียนเลี่ยนโล่งเลิง
ข้าวก็เกลี้ยงยุ้งยุ่งเหยิงป่วนเปิงใจ
พ่อค้าโหดกดราคาห้าสลึง
ขายข้าวเหนียวเกลี้ยงแต่พึ่งเก็บเกี่ยวใหม่
มะลิหอมอย่างดีแย่งแข่งขนไป
แม้เพียงได้เก้าสลึงหนึ่งกิโล
ยังไม่สิ้นเดือนธันวาหมดปลาข้าว
นายทุนห้าวกระหยิ่มยิ้มอยู่อะโห
เตรียมตุนข้าวเขมือบกล้ำคำโตโต
คราพวกโง่ประกาศประกันเดือนกุมภา
เมืองศรีมีที่เขาเรียกว่าสอสอ
แต่ละหน่อล้วนเกลี้ยงกลมคมหนักหนา
โก้เมืองดอยด้อยเมืองกรุงตุงสภา
อนิจจาหน้าที่ทำไร้สำนึก
รอโลกหน้าสบบุญญาประชาราษฎร์
คราศรีอาริย์มาโปรดชาติยามดึกดึก
คงสมปองได้บัณฑิตความคิดลึก
มานิยมสมใจนึกตรึกการเมือง
แต่ชาตินี้น่าสิ้นหวังว่าชีวิต
จักไพจิตรขจรจนคนลือเลื่อง
ผู้นำล่าช้าประชาค่าเปล่าเปลือง
กังวลเคืองขื่นความยากซ้ำซากชา
ขอเพียงได้เลี้ยงชีวิตอย่างคนอยู่
ได้กินขี้ได้ขี่คู่ได้คู้ขา
ได้เดินทางทั่วแผ่นใกล้ไกลโลกา
ภูเก็ตกล้ำมะลายาค้าแรงงาน
เข้าเดือนอ้ายลมแล้งรัวทั่วขัณฑ์เขต
หมอกเช้าหนาดั่งน้ำเนตรเนืองสนาน
บัดถึงคราวคนทิ้งถิ่นดินกันดาร
ทั่วอิสาณหนาวลมเหลียวแห้งเหี่ยวใจ
เหมือนดั่งมีสัญชาตญาณกาลกำหนด
แม้กำสรดต้องกลืนกล้ำน้ำตาไหล
เหมือนพ่อนกโผจากคาสู่ฟ้าไกล
ทิ้งลูกไว้ชะแง้หาตั้งตาคอย
ขอบฟ้าไกลกว้างกว่ากว้างห้วงเวหาสน์
เพียงขุมทองผ่องพิลาสน์สาดฝั่งฝอย
แต่ชีวิตใต้ครอบคาค่าแสนน้อย
เหมือนต่ำต้อยติดดินดาลด่านโลกันต์
ดึกลมลิ่วหวิวหวิ่งหวีดกรีดลำไผ่
เพียงกรุ๋งกริ่งหริ่งเรไรโลมไล้ขวัญ
หม่าวแมวครางแต่แฝกข้างสระฝั่งชัน
ลมยิ่งผันยามดึกเดือนเลื่อนโพยม
แว่วพิณฟ้าพญาว่าวขึ้นสาวเมฆ
ฟังวิเวกลอดผ้าห่มคราวลมโหม
ธนูลมสมสั่งฟ้ามาประโคม
ปลอบประโลมความขื่นแค้นให้แคลนคลาย
ใครเล่าเหลียวเยียวยาไข้ยามได้ยาก
ใครเล่าเหลียวเคี้ยวคำหมากยากจักหมาย
ใครเล่าเหลียวเหลือบหน้าเปื้อนเกลื่อนตาตาย
ใครเล่าเหลียวกองฟอนฟายพิไรลา
ใครเล่าเหลียวเยียวทั่วทุกข์ทวยธเรศน์
ใครเล่าเหลียววนประเวศน์วนาหนา
ใครเล่าเหลียวเยียวอกช้ำคราบน้ำตา
ใครเล่าเหลียวเลี้ยงประชายากยาจน
ใครเล่าเหลียวหลิ่วตาถามยามยากไร้
ใครเล่าเหลียวที่นาไร่ไร้รวงผล
ใครเล่าเหลียวชาวอกแค้นแน่นกมล
ใครเล่าเหลียวความคลั่งท้นทนเพื่อธรรม
ใครเล่าเหลียวเที่ยวทางยากฝากสั่งถ้อย
ใครเล่าเหลียวหน่อยนิดน้อยหน้าขื่นขำ
ใครเล่าเหลียวชื่นอกช้ำกลืนระกำ
ใครเล่าเหลียวรับขวัญคำพร่ำอาทร
ใครเล่าเหลียวเปลี่ยวจิตว้าล้าความคิด
ใครเล่าเหลียวแล้งลูกศิษย์สิ้นครูสอน
ใครเล่าเหลียวอวิชชาสู่ชูนคร
ใครเล่าเหลียวเด็กเร่าร้อนค่อยผ่อนเย็น
ใครเล่าเหลียวชุบชีวาสามารถอาจ
ใครเล่าเหลียวเลี้ยงชีวาตม์หวาดความเข็ญ
ใครเล่าเหลียวปลุกคุณค่าค่าคนเป็น
ใครเล่าเหลียวสองตาเห็นคนเช่นคน
ใครเล่าเหลียวฉ่ำนัยนาดั่งฟ้าหยาด
ใครเล่าเหลียวรักโลมราษฎร์ดั่งธารฝน
ใครเล่าเหลียวชื่นอกแท้แด่ทวยชน
ใครเล่าเหลียวศรัทธาท้นท่วมภักดี
ใครเล่าเหลียวเขียวหน้าคร่ำคลำนิ่วหน้า
ใครเล่าเหลียวล้าหลังล้าเฒ่าทาสี
ใครเล่าเหลียวเร่งลบร้ารอยราคี
ใครเล่าเหลียวโซ่ตรวนตีหนี้นายไท
ใครเล่าเหลียวเฉื่อยเชือนชาหน้าแห้งเหือด
ใครเล่าเหลียวเซียวเซียวเลือดโหยหอบไห้
ใครเล่าเหลียวพุงโรเรียวเขียวคราบไคล
ใครเล่าเหลียวเหลืองเหลืองไข้ผ่ายความตรอม
ไพบูลย์ ขัณฑเขต
นิพนธ์เมื่อปีพุทธศักราช 2527