บทกวีนิพนธ์แห่งความรัก
(คีตกวีแห่งดงลำดวนหรือพิณพาทแห่งกวีศรีสะเกษ)
โอ้แผ่นดินถิ่นนี้เป็นที่รัก
เพิ่งประจักษ์ความหมายทั้งหลายผอง
โอ้แผ่นดินถิ่นนี้ที่หวังปอง
ตามสนองใฝ่สนานนับกาลมา ฯ
ข้าเดินเดียวเปลี่ยวพะว้าพะวังหวัง
ช่ำมะเลืองหลังยังหมายใครมองหา
สาส์นนี้หรือสื่อสารวานเพื่อนมา
ร่วมเคียงข้ายาตราผจญมาร ฯ
นี่คือสาส์นผ่านจิตสู่มิตรผอง
กล่าวครรลองธรรมชาติอันอาจหาญ
ที่เร้นลึกคึกสะพรั่งอลังการ
อยู่เนิ่นนานเนาสนมได้ชมชาย ฯ
เพื่อนคือดาวดิเรกรุ่งจากกรุงฟ้า
แห่งหาวห้วงเวหานภาผาย
จุติสู่กรุงดินอยู่รินราย
ประจำค่ายคอยวันลั่นเริงรบ ฯ
เพื่อนผู้รู้อยู่แท้แต่ภายจิต
นิรมิตฤทธิ์โลกโศรกประสบ
เศิกแรงเรื้อเหลือห้าวมาท่าวทบ
ถึงเจนจบสุดสวรรค์ยังพรั่นพราย ฯ
แด่เพื่อนรักผู้สลักฤทัยชิด
สนมสนิทพุทธศาสน์ดั่งมาดหมาย
เพื่อนผู้รักสลักจิตไม่คิดคลาย
น้อมถวายธงชัยจะใฝ่ธรรม ฯ
ธงชนะฉะนั้นพลิ้วพิไรอยู่
เพื่อนจุ่งดูรู้ฝืนไปชื่นฉ่ำ
เพียงเคหาแห่งห้องลำยองยำ
แสนประเสริฐเลิศล้ำคำบรรยาย ฯ
ปีใหม่นี้ปีทองห่อนหมองไหม้
ปีนี้ไซร้ปีรุ่งดั่งมุ่งหมาย
ปีที่แสงแรงตะวันยิ่งพรรณราย
ดุจจันทร์ฉายแสงฉ่ำล้ำราตรี ฯ
จงเดินเถิดเดินหน้าอย่ารอรั้ง
สู่ความหวังดังฝันอันฉวี
สืบคุณธรรมล้ำค่าที่ปรานี
รัฐราษฎร์ศาสน์กษัตริย์พลีนิรันดร ฯ
ข้าอยู่ดินถิ่นสวนลำดวนงาม
หน่อพระนามสยามิศรอดิศศร
ท่ามพงษ์เผ่าชาวพิมลพลนิกร
ศรีนครลำดวนแดนแผ่นไพบูลย์ ฯ
แม้นลำดวนบานนานสะท้านถิ่น
ชนนีศรีนครินทร์บดินทร์สูร
ถึงท่วมดินกลิ่นตระหลบอบอาดูร
ไม่หอมปูนธรรมรสหมดอาลัย ฯ
แล้วลมหวนลำดวนกลิ่นถวิลแท้
ได้เกลี่ยแก้รันทดหมดใจใส
มโนธารผ่านพฤกษาลดาไพร
ผ่านไผทกว่ากว้างห้วงโลกันต์ ฯ
สู่มิตรรักผู้สมัครมาฝักใฝ่
เป็นเพื่อนใจร่วมจิตคิดรังสรรค์
สืบคุณค่ามโนธรรมล้ำลาวัณ
เพียงแจ่มจันทร์กระจ่างฟ้า ณ ราตรี ฯ
เพื่อนผู้มาหาอยู่แม้ครู่หนึ่ง
ให้นึกซึ้งตรึงนักรักศักดิ์ศรี
ถึงจากไกลใจนับทับทวี
ด้วยความดีมีเหมือนดั่งเพื่อนใจ ฯ
แต่มิตรมีที่มาประสงค์อยู่
ร่วมชื่นชูแผ่นไผทใหญ่ไมห
ดูให้รู้เหตุแห่งแคลงหทัย
แว่วหวั่นในมโนนึกอันตรึกตรอง ฯ
ขอความดีมีสง่าแด่ข้าน้อย
ดับความสร้อยรอยโศรกวิโยคหมอง
นำความตรึกลึกล้ำถึงทำนอง
ตามครรลองอริยชาติปราชญ์เมธา ฯ
บุญข้าน้อยร้อยใจถวายวิเศษ
พระผู้รุมคุ้มเกศเกล้าเกษา
ด้วยตั้งจิตอธิษฐานแต่นานมา
หวังไขว่คว้ายอดยุดมกุฎธรรม ฯ
เพื่อนจุ่งดูรู้หมายผกายแก้ว
อันเพริศแพร้วเพียงสถานพิมานฉ่ำ
เพื่อจุ่งดูรู้หมายด้วยใจจำ
มโนธารหวานล้ำคำพรรณนา ฯ
มาซิมาช้าอยู่หลายครู่แล้ว
มาสู่ความผ่องแผ้วสุขหรรษา
ทิ้งของคาวโลกีย์แห่งโลกา
ทิ้งพาราเหลียวคะนองครรลองบุญ ฯ
เหินฟ้ามาละล่องฝ่าละอองเมฆ
บัดเดี๋ยวเศกแพรพรมลิ่วลมหนุน
ชื่นละอองท้องนภาการุณ
สะอาดอุ่นกรุ่นเกษมเปรมปรีดา ฯ
เพื่อนมาถึงพึงพิศพินิจฉะนี้
ด้วยความดีหลายหลากยากนักหนา
เร่งเพียรคิดพิศมัยไขปัญญา
ซึ้งคุณค่าหฤทัยที่ใฝ่ธรรม ฯ
คือคติสร้างรังสรรค์สวรรค์พิภพ
มาบรรจบแดนโศรกแห่งโลกต่ำ
เพื่อนมาแล้วแผ้วถางทางระกำ
ร่วมจดจำเจ็บแค้นแผ่นดินทราม ฯ
ร่วมแผ่นดินร่วมถิ่นนรินทร
ร่วมทุกข์สุขสโมสรชนสยาม
สละโลกุตตระอาภาฟ้างาม
อยู่ท่ามกลางพลกามโลกีย์ ฯ
แล้วลมหวลลำดวนกลิ่นรินรินรื่น
ดอกดวนดื่นพนารักษ์สมศักดิ์ศรี
โอ้ดวนเอ๋ยเชยใดในปัถพี
มิแม้นเหมือนลำดวนนี้น่าภิรมย์ ฯ
ถึงดอกฟ้าบุษบาปาริชาติ
มณฑาทิพย์ทิวสะอาดละอองฉม
มิแม้นเหมือนลำดวนดินถิ่นนิยม
ได้ชื่นชมกว่าฟ้าลดาไกล ฯ
ลำดวนเกลื่อนเตือนฝันประหวั่นนัก
ดมดอกรักหวลหอมยิ่งกล่อมใส
แต่ตูข้ามาแล้วแคล้วครรไล
อยู่ห่างไกลเพื่อนสิ้นทั้งดินดาล ฯ
เพื่อนข้ามีมากมายหลายแห่งห้อง
ล้วนเผ่าผองธรรมบุตรสุดไพศาล
อยู่ฟากฟ้านภาพรหมยมบาล
ล้วนเชี่ยวชาญวรวุฒิยุทธวิธี ฯ
เพื่อนผู้มุ่งหมายเมื้อเยื้อไตรรัตน์
อาจเอื้อมฉัตรสุภาภรณ์อ่อนฉวี
เพื่อนผู้แกล้วแนวหน่อชินบดี
อาทรธรณิศนี้จะปรีดา ฯ
เพื่อนผู้ผ้ายพนมไพรไกลลิ่วล้ำ
ถึงฟ้าฉ่ำเชยทะเลแห่งเวหา
สู่ท้องครามนามสมุทร์สุดอาภา
กลืนภักษาเทพทิพย์โลกนิพพาน ฯ
เพื่อนผู้แผ้วแคล้วข่ายราคีคาว
ดั่งดวงดาวพราวแสงอนันตฉาน
เรื้องนภาอำไพพิไลลาน
ผยองยศหยิ่งสะท้านพิมานบน ฯ
เพื่อนหากเมินเหินห่างเส้นทางนี้
เส้นทางที่ข้าฝ่ามาสับสน
แหนงเพื่อนกล้ามาแล้วแผ้วพิมล
นรชนคืนถวิลถิ่นพระธรรม ฯ
โลกนี้ต่ำเพียงดินไร้สินศักดิ์
จึ่งช้านักมักใคร่ใฝ่ทางต่ำ
คือแนวธรรมดามนุษย์สุดระกำ
มีแต่ร่ำระบือทุกข์ไปทุกกาล ฯ
ข้ามาอยู่ครู่หนึ่งพึงเห็นเหตุ
ทางเทวษนรสัตวามหาศาล
จำเพื่อนกล้ามาพร้อมกล่อมกรุงพาล
ลองประมาณกลยุทธวุฒิธรรม ฯ
ถึงวันนี้ฝ่าฟ้ามาหลากฟ้า
ต้านเวหาหาวแล้งแรงระห่ำ
จะเด็ดปีกปักษาถลาคะมำ
ช้าระบำเริงฟ้อนอ่อนอวยลม ฯ
โอ้ว่าองค์สมณะพระผู้ใหญ่
ผู้เตร็จไตรโลกานราศรม
โอ้ว่าองค์สมณะมหาโคดม
องค์บรมพุทธชาติศาสดา ฯ
เราจะบินบินบินและบินไป
สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา
ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า
ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว
จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน
ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย
แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน
กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร
ละลิ่วไปในระหว่างทางเมฆใหญ่
เงื้อมไศลไพรพนิศร์มหิศร
ด้วยสัจจะวิชชาปัญญาธร
ค่อยแรมรอนเรื่อยไล่ใกล้เวคิน
ด้วยเส้นทางบินฝ่ามหาวิบาก
เพียงดั่งลากรอยจารพลาญหิน
เป็นแผนที่ทางพิสุทธิ์อุตริน
เพื่อแผ่นดินชนหลามตามครรไล
แล้วถึงคราวปลีกบินถิ่นวิเวก
ในแดนเอกมหาอุตม์สุดไสว
ฝนตัวเองเลือนลับค่อยดับไป
สู่ธงชัยมหรรณพจบนิพพาน ฯ
โอ้โยมเอ๋ยอาตมาสละโลก
สิ้นความโศรกสงสัยในสงสาร
นับแต่นี้สืบสันต์นิรันดร์กาล
บัวจะบานเบิกช้อยรอยบรรจง ฯ
โอ้เอี้ยงเอ๋ยเคยบินแต่ดินต่ำ
ไม่เหมือนส่ำสกุณาพญาหงส์
โอ้เอี้ยงเอ๋ยเคยร่อนก็แรมลง
เพียงป่าดงยอดหญ้าชลาลัย ฯ
มิเคยเหยียบเยียนฟ้ามหาศาล
แดนพิมานเมฆาเวหาใหญ่
เป็นทางเที่ยวพญานกผกโผนไป
เหลือวิสัยดั่งเอี้ยงจะเมียงมอง ฯ
พู้นคือเผ่าภูติฟ้าปักษาสวรรค์
อันไพเราะเสนาะสนั่นนภาผอง
อาตมภาพมาพลันตามครรลอง
อริยสัจประเสริฐต้องคะนองธรรม ฯ
• พยับรวิวรรณ